ศาสนาพราหมณ์
02/03/15
ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ที่น่าศึกษา ?
ขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.heritage.thaigov.net/

ศาสนาพรามณ์
-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
พระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมพราหมณ์ แม้แต่พระพุทธเจ้าและพุทธสาวกสมัยแรกๆ ก็เคยนับถือลัทธิพราหมณ์หรือเคยเกี่ยวข้องกับวรรณะพราหมณ์มาก่อน และในนิทานชาดก และเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาพุทธและพระพุทธเจ้า ก็มักจะมีพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงกล่าวได้ว่า ศาสนาพุทธและพราหมณ์ จึงมีอิทธิพลต่อกันและกัน

ศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาฮินดูเป็นศาสนาเดียวกัน คำว่า ศาสนาพราหมณ์ มีความหมายว่าศาสนาของพระพรหมต่อมาได้ปฏิรูปให้เป็น ศาสนาฮินดู คำว่าฮินดูเป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งอยู่ในประเทศปากีสถานในปัจจุบัน ชนชาวอารยันได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการปฏิรูปคำสอนเดิมและเพิ่มเติมคำสอนใหม่ๆ ลงไปผสมกับความเชื่อดั้งเดิมของชนพื้นเมืองหรือชาวมิลักขะหรือทัสยุ แต่ไม่ได้เรียกศาสนาใหม่ว่าฮินดูเพียงแต่เรียกว่าสนาตนะธรรมหรือกฎธรรมชาติที่นิรันดร ต่อมาชาวตะวันตกจึงเรียกศาสนาของคนแถบแม่น้ำสินธุว่าศาสนาฮินดูเพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีกชื่อในศาสนาใหม่ว่าฮินดู ปัจจุบันนี้ศาสนิกชนพราหมณ์-ฮินดูส่วนมากอยู่ในประเทศอินเดีย ส่วนหนึ่งจะอาศัยอยู่ในประเทศอื่นๆ เช่น ศรีลังกา บาหลี อินโดนีเซีย ไทย และแอฟริกาใต้ โดยทั่วไป ถือว่าชาวฮินดูเชื่อว่ามีเทพเจ้าสูงสุด 3 องค์ คือ พระพรหม ซึ่งเป็นผู้สร้างโลก พระอิศวร หรือ พระศิวะ เป็นผู้ทำลาย และพระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ เป็นผู้ปกป้องและรักษาโลก

ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู

ศาสดาหรือผู้ตั้งศาสนาพราหมณ์ฮินดูคือพระนารายณ์ซึ่งคนส่วนมากเรียกกันว่าพระวิษณุแต่ เดิมพระวิษณุได้สอนธรรมะ และวิธีปฏิบัติธรรมแก่พระพรหมธาดาแล้วพระพรหมธาดาผู้ได้สอนสันตกุมาร ผู้เป็นบุตรอีกชั้นหนึ่ง ต่อมาทั้งสองท่านก็ได้สั่งสอนแก่พระนารถมุนีผู้เป็นเทพฤาษีเพื่อให้เผยแพร่ต่อไปยังนานาโลก สำหรับในโลกมนุษย์พระอุปเทศกะคือผู้แสดงเรื่องราวทางศาสนารองลงมาจากพระนารถมุนีคือพระกปิลมุนีผู้เกิดมาเป็นมนุษย์มีตัวตนอยู่ในโลก ได้แสดงธรรมครั้งแรกที่วินทุอาศรมต่อมาได้ตั้งอาศรมขึ้นที่ปลายแม่น้ำคงคาที่เรียกว่ากันคงคาสาครดังนั้นในเดือนธันวาคมและมกราคมของทุกปีจะมีประชาชนจำนวนมากไปจาริกแสวงบุญ ณ ที่ดังกล่าว
พระปรมาตมันเป็นพระเจ้าสูงสุด มีอุปาสยเทพอยู่สามองค์คือ พระพรหมา พระวิษณุและพระศิวะ พระปรมาตมันไม่มีรูปและไม่มีตัวตน จึงกล่าววกันว่าเป็นนิรังการหรือนิรากาลคือไม่มีอาการ หรือปราศจากอาการ
ต่อมาเมื่อพระปรมาตมัน ประสงค์จะสร้างโลกก็เลยกลายเป็นสาการภาพคือเกิดภาวะอันมีอาการและเป็นสามรูป ได้แก่พระพรหมธาดา พระวิษณุและพระศิวะ
พระพรหมา เป็นผู้สร้างโลกต่างๆ
พระวิษณุ เป็นผู้คุ้มครองโลกต่าง ๆ
พระศิวะ เป็นผู้สังหารหรือทำลายโลกต่าง ๆ
เทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์ฮินดู มีอยู่เป็นจำนวนมาก เทพเจ้าแต่ละองค์ดูไม่ออกว่าองค์ไหนสำคัญกว่าหรือสูงกว่า แต่ละกลุ่มนับถือแต่ละองค์บางทีในครอบครัวเดียวกัน แต่ละคนในครอบครัวก็นับถือเทพเจ้าต่าง ๆ กันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
เมื่อพระปรมาตมัน ประสงค์จะมีโลกต่าง ๆก็จะแบ่งภาคเป็นสามภาคคือ พระพรหมา พระนารายณ์ และพระศิวะขณะเดียวกันพระแม่อาทิศักตี ก็แบ่งภาคเป็นสามองค์คือมหาสรัสวดี มหาลักษมีและมหากาลีหรืออุมาเทวี
ทั้งหกองค์แบ่งปางต่าง ๆ หรือสร้างเทพต่างๆ ขึ้นตามความต้องการเช่นพระโลกปาล๕ องค์พระทิศปาล๑๐ องค์พระเกษตรปาล (เจ้าที่เจ้าทาง) ๔๙ องค์นพเคราะห์๙ องค์เป็นต้น
คัมภีร์ปุราณต่าง ๆได้บัญญัติไว้ว่ามีเทวดาทั้งหมดสามร้อยสามสิบล้านองค์เพราะสิ่งของทุกชนิดมีเทวดาประจำด้วยทุกสิ่ง ในบ้านเรือนแต่ละส่วนของบ้านมีเทพประจำอยู่ มีเทพเจ้าแห่งน้ำคือพระวรุณหรือพระพิรุณ เทพเจ้าแห่งลมคือพระวายุเทพเทพเจ้าแห่งอัญมณีรัตน์คือพระกุเวรเทพเจ้าแห่งวิชาคือพระแม่สรัสวดีเทพเจ้าแห่งสมองคือพระพิฆเนศวรเป็นต้น
ยังมีปางของพระแม่อาทิศักตีและปางนี้ทำให้เห็นว่ามีเทวดานานานาม นานารูป มีเทวดาในรูปนามเพื่มขึ้นเรื่อย ๆไม่สิ้นสุด โดยมีหลักว่าบรรดาเทพเจ้าเหล่านั้น เป็นส่วนของพระปรมาตมันจึงถือกันว่ามีเอกภาพในพหุภาพคือ มีเทพเจ้าองค์เดียวในรูปร่างต่างๆ

คัมภีร์ คือ พระเวท ซึ่งมีความหมายกว้างขวางมากถ้าต้องการให้เข้าใจดีจะต้องศึกษาศาสตร์หกแขนงเรียกว่า วิชาหกประการ หรือเวทางคศาสตร์คือความรู้เกี่ยวกับส่วนต่าง ๆที่ประกอบกันเป็นพระเวททั้งหกประการคือ ศึกษาศาสตร์ สอนการอ่านทำนองของพระเวท - ศิลปศาสตร์ สอนว่าพระเวทหรือคำแต่ละคำของพระเวทและมนตร์ต่าง ๆ นั้นจะมีวิธีนำเอาไปใช้ที่ไหนและอย่างไร- ไวยากรณ์ศาสตร์ สอนว่าคำแต่ละคำของพระเวท พระมนตร์ อุบัติขึ้นมาอย่างไรและออกเสียงอย่างไร- นิรุกติศาสตร์ สอนเรื่องคำพูดหรือภาษาความเข้าใจในภาษา และการรู้จักใช้ถ้อยยคำให้ผู้อื่นเข้าใจการศึกษาถึงที่มาของคำว่าแต่ละคำ มีอะไรมาประกอบเข้ากันบ้าง -ฉันทศาสตร์ หรือกาพย์ศาสตร์ สอนว่ามนตร์แต่ละมนตร์ของพระเวทอ่านทำนองอย่างไรและมีวิธีการประพันธ์แต่ละกาพย์ แต่ละฉันท์อย่างไรบ้าง-โชยติษศาสตร์ หรือนักษัตรศาสตร์ หรือโหราศาสตร์ หรือดาราศาสตร์สอนถึงคติการโคจรของดวงดาวทั้งหลาย รวมถึงอุตนิยมวิทยาด้วย

สัญลักษณ์ทางศาสนา สำคัญที่สุดคือตัวอักษรที่อ่านว่าโอมมาจาก อ + อุ + มะเป็นแทนพระตรีมูรตีเทพ คืออแทนพระนารายณ์หรือพระวิษณุ อุ แทนพระพรหมามแทนพระศิวะหรือพระอิศวร เมื่อรวมกันเข้าเป็นอักษรเดียวกลายเป็นอักษร โอม แทนพระปรมาตมันพระเจ้าสูงสุด ไม่มีตัวตนสัญลักษณ์นี้ทุกนิกาย ทุกลัทธิ ในศาสนาพราหมณ์ฮินดูต้องใช้เป็นประจำ
สัญลักษณ์รองลงมาคือเครื่องหมายสวัสดิกะ เป็นสัญลักษณ์ที่ทุกนิกาย ทุกลัทธิใช้กันมาก เป็นเครื่องหมายแทนพระพิฆเนศวรหรือพระคเณศ หมายถึงเป็นมงคลทุกด้าน ทุกมุมปราศจากอุปสรรคทั้งปวง
รองลงมามีเครื่องหมายสัญลักษณ์หลายอย่างซึ่งแต่ละนิกายและลัทธิ ใช้กันประจำนิกาย และลัทธิ เช่น นิกายไศวะ ใช้รูปตรีศูล นิกายไวษณพ ใช้รูปจักรเป็นต้น
ในประเทศไทย เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ใช้ทั้งตรีศูล และตัวอักษร โอม เป็นสัญลักษณ์นอกจากนี้ยังมีรูปดอกบัว สังข์ คฑา ช้าง โค พระอาทิตย์ นกยูง สิงโต งู คันไถและอื่น ๆ ใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำนิกาย และประจำลัทธิด้วยแต่ต้องมีตัวโอมอยู่เสมอ จุดมุ่งหมายของศาสนา เพื่อนำบุคคลไปสู่ความหลุดพ้น ทั้งจากกองกิเลส และกองทุกข์ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหลุดพ้นไปแล้วก็จะกลายเป็นเอกภาพมีภาวะเป็นอันหนึ่งอันเดียวไปกับพระปรมาตมัน ภาวะดังกล่าวเรียกว่าโมกฺษคติไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

ในคัมภีร์ และตำราของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูได้บัญญัติการปฎิบัติระหว่างบุคคลไว้เป็นอันมาก เช่น ปิตฤธรรม คือการปฎิบัติหน้าที่ของบิดาต่อบุตร
มคฤธรรม คือการปฎิบัติหน้าที่ของมารดาต่อบุตร
อาจารยธรรม คือการปฎิบัติหน้าที่ของครูอาจารย์ต่อศิษย์ บุตรธรรม และศิษยธรรม คือการปฎิบัติหน้าที่ของบุตรต่อบิดามารดา
ภราตฤธรรม คือการปฎิบัติของพี่ต่อน้อง
ปติธรรม คือการปฎิบัติหน้าที่ของสามีต่อภรรยา
ปัตนีธรรม คือการปฎิบัติหน้าที่ของภรรยาต่อสามี
สวามี - เสวกธรรม คือการปฎิบัติหน้าที่ของสวามี (นายจ้าง) ต่อเสวก (ลูกจ้าง) ราชธรรม คือการปฎิบัติหน้าที่ของพระราชาต่อประชาชน กับปฎิบัติหน้าที่ของประชาชนต่อพระราชา
มานวธรรม มีการสั่งสอนไว้หลายประการด้วยกัน เช่น
- หากเกิดมาเป็นมนุษย์ จงปฎิบัติแต่ทางกุศล
- บุคคลที่ได้กระทำโดยการพูด โดยกาย โดยใจ แล้วผลแห่งการกระทำนั้นก็จักอำนวยให้แก่บุคคลนั้น เป็นอุดมคติจึงจงทำแต่ดีตลอด
- คิดแต่ทรัพยสมบัติของผู้อื่นคิดแต่ทำเสียประโยชน์ของผู้อื่น ไม่ยอมนับถือผู้ใหญ่ เป็นโทษทางจิตใจจงอย่าทำ
- ก่อนจะลงมือกระทำใด ๆ จงพิจารณาดูว่าขัดกับธรรมเนียมประเพณีของประเทศชาติหรือขัดแย้งกับขนบธรรมเนียมของตระกูลตนเอง หรือของสังคมที่ตนสังกัดอยู่หรือไม่ หากไม่ขัดแล้วจึงลงมือทำ
- บุคคลใดไม่ซื่อตรงต่อมิตร ไม่รู้จักบุญคุณ หักหลังผู้อื่นต้องไปตกนรก
- บุคคลใดที่เสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ เพื่อธรรมบุคคลนั้นจะไปสุคติสูงสุดโดยผ่านสุริยจักรวาลไป
- ในโลกนี้ ใครมาแย่งที่ดิน (ประเทศชาติ) ของเรา ซึ่งปู่ย่าและบิดามารดาได้รักษาไว้ผู้นั้นจะเป็นศัตรูที่หนึ่งของเรา ขอให้ทำลายผู้นั้นเสียไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นญาติมิตรก็ตาม
- พระราชาเป็นญาติของผู้ที่ไม่มีญาติ เป็นตาของผู้ที่ไม่มีความสว่างในดวงตาเป็นบิดาและมารดาของประะชาชน ที่เดินบนทางยุติธรรม
- ทรัพยสมบัติเงินทองมีคติ ๓ ประการ คือ จ่ายออกโดยจัดทานในกุศลธรรมต่าง ๆจ่ายออกเพื่อหาเครื่องอุปโภคบริโภค หากไม่จัดทำทั้งสองประการนี้แล้วก็ถูกวินาศไป
- จงฟังสาระสำคัญธรรม คือสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ สิ่งนั้นอย่าอำนวยให้แก่ผู้อื่น การกระทำของผู้อื่นประการใดที่เราไม่ชอบ อย่ากระทำการนั้นต่อผู้อื่นสารธรรมนี้จงถือไว้ตลอดไป ก็มีแต่ความสุขสันต์เป็นนิตย์

หลักคำสอนทางศาสนา ๑. จงพูดแต่ความสัตย์ ๒.จงกระทำปฎิบัติแต่ทางธรรม ๓.อย่าประมาทในการอ่านหนังสือธรรม จงพยายามหาเวลาอ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมพอสมควรให้เป็นนิตย์
๔.จงเอาจตุปัจจัยถวายแก่ครูอาจารย์แล้วตนเองก็เข้าสู่เพศฆราวาสอย่าทำให้วงศ์ตระกูลต้องขาดสาย จงปฎิบัติหน้าที่ของตนให้เหมาะสมกับสามีที่ดีซื่อสัตย์ต่อภรรยา และบิดาที่ดีต่อบุตร ๕.จงอย่าประมาทในการพูดความสัจ ๖.จงอย่าประมาทในการกระทำ จงพยายามทำกุศลกรรม ๗.จงอย่าประมาทในการปฎิบัติธรรม ๘.อย่าประมาทในการทำให้มีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ๙. อย่าประมาทในการค้นหาความรู้ทางธรรม และในการเผยแพร่ธรรม โดยการอ่านตำรา ๆและปาฐกถา ๑๐.จงอย่าประมาทในการบูชาสักการะเทพเจ้า เทวดา และบรรพบุรุษของตน ๑๑. จงถือว่ามารดาเป็นเสมือนพระเจ้าองค์หนึ่ง ๑๒.จงถือว่าบิดาเป็นเสมือนพระเจ้าองค์หนึ่ง ๑๓.จงถือว่าครูอาจารย์เสมือนพระเจ้าองค์หนึ่ง ๑๔. ถือว่าแขกที่มาสู่บ้านโดยบังเอิญ เป็นเสมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง ๑๕. จงกระทำในสิ่งที่ดีที่ไม่เป็นที่ติดฉินนินทา นอกจากนี้ยังต้องปฎิบัติตามและยึดถือขนบธรรมเนียม ประเพณีแต่โบราณด้วย ๑๖.บรรพบุรุษได้สร้างทางแห่งความสุจริตไว้ จงเดินบนทางนั้น ๑๗. จงฟังและเคารพบุคคลที่มีวัยวุฒิและคุณวุฒิ ๑๘.สิ่งที่จะมอบให้ผู้อื่น จงให้ด้วยความศรัทธา ด้วยความเต็มใจและดีใจ ด้วยความรักและความอ่อนหวาน อย่าให้ด้วยความไม่ศรัทธา ด้วยความกลัวหรือการถูกบังคับ ๑๙. จงไปหาผู้อาวุโสหรือผู้ปฎิบัติธรรม เมื่อสงสัยในข้อปฎิบัติว่าถูกต้องหรือไม่เพื่อให้ท่านเหล่านั้นขจัดข้อข้องใจให้ ๒๐.สิ่งเหล่านี้เป็นคำสั่ง เป็นคำสั่งสอนจากพระเวท และอุปนิษัท เป็นคำสั่งสอนของครูจึงควรปฎิบัติตาม
การปฏิบัติประจำวันทางศาสนา คือทำบูชาห้าประการหรือการกระทำพิธียัญญะห้าประเภท พรหมยัญญะ ได้แก่การตั้งจินตนาการถึงเฉพาะแต่พระปรมาตมันและอาตมา โดยตั้งสมาธิทางลัทธิโยคะหรือกระทำพิธีบูชาตามยคำสั่งสอนของคัมภีร์พระเวทหรือมิฉะนั้นก็ทำการศึกษาพระธรรมให้แตกฉานยิ่งขึ้นผู้บรรลุพรหมยัญญะจะสามารถบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่คนทั้งปวงได้ด้วยใจบริสุทธิ์โดยมิได้เลือกหน้า
พรหมยัญญะ กระทำสามเวลาตอนเช้าระหว่าง ๐๔.๐๐ น. ถึง ๐๘.๐๐ น. ตอนกลางวันระหว่าง ๑๑.๓๐ น. ถึง ๑๓.๐๐ น.ตอนเย็นระหว่าง ๑๗.๑๕ น. ถึง ๒๐.๐๐ น.ตอนเช้าตื่นขึ้นมาแล้วชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ก่อนเข้าพิธีใช้คาถาพระคายตรีอ่านในใจและจินตนาการ พระรูปกายตรีปางทรงพรหมา ไปพร้อมกันกลางวันอ่านคาถาพระกายตรีและจินตนาการพระแม่กายตรีปางพระนารายณ์ตอนเย็นอ่านคาถาพระกายตรีและจินตนาการรูปพระแม่กายตรีปางพระศิวะ
การอ่านพระคาถากายตรีต้องอ่านหนึ่งพันครั้งในแต่ละเวลา หากปฎิบัติได้ ๑๒ ปีก็จะมีบารมีสูงขึ้นในร่างกายและจิตใจของผู้ปฏิบัติมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองเป็นพิเศษ หากไม่สามารถปฏิบัติได้ถึงขั้นนี้ก็ต้องอ่านหนึ่งร้อยแปดครั้งในแต่ละเวลาถ้าเห็นว่ายังทำไม่ได้อีกก็อ่านเพียงสองเวลาเช้า เย็น
เทวยัญญะ ได้แก่การทำพิธีบูชาไฟชนิดที่เรียกว่าการหวนหมายถึงการเวียนกลับหรือหมุนเวียนกลับ ในการบูชาไฟย่อมมีสิ่งของต่างๆ เช่น เนยงาดำ ธูป ผง ไม้จันทน์ กำยาน ฯลฯ ของเหล่านี้เมื่อนำมาเผาก็ทำให้เกิดควันควันเหล่านี้ก็จะกลายมาเป็นเมฆ เมฆกลายเป็นฝน
ปิตฤ ยัญญะได้แก่การสักการะบูชาบรรพบุรุษ ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ และล่วงลับไปแล้วมีสี่ประเภทด้วยกันคือ
- บิดามารดา น้า อา ป้า ลุงที่เป็นบรรพบุรุษสายเลือดแห่งตระกูล ที่ยังมีชีวิตอยู่
- ครู อาจารย์ ผู้สอนศาสนา ตลอดจนผู้เขียนหนังสือธรรมะนักบวช พระเจ้าแผ่นดินที่ยังมีชีวิตอยู่
- สิ่งที่มีประโยชน์แก่มนุษย์ชาติโดยธรรมชาติเช่น มาตุภูมิ ดิน น้ำ ลม ไฟ พระอาทิตย์พระจันทร์ ฯลฯ
- บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
มนุษยยัญญะได้แก่การรู้จักต้อนรับแขก และการปฏิบัติในทางที่ดีต่ออาคันตุกะ ผู้มาเยี่ยมเยียนรวมถึงการกระทำเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษย์

ศาสนาพรหมณ์ฮินดูไม่ปล่อยให้เป็นภาระของเทพเจ้า เป็นที่พึ่งฝ่ายเดียว แต่ยังอาศัยกรรมของตนฉะนั้นคัมภีร์พระเวทจึงได้สอนไว้ว่า มนุษย์ทั้งหลายควรปฎิบัติตามคติสี่ประการคือธรรมะ อรรถะ กามะ และโมกษะ -อรรถ แปลว่า ทรัพย์สมบัติหรือสิ่งของที่ต้องการ -กาม แปลว่า ความปรารถนา ความประสงค์ ความต้องการ การอุปโภค บริโภค สิ่งต่าง ๆ ก็จัดเป็นกามเหมือนกัน -มนุษย์ เมื่อสำเร็จโมกษธรรมแล้วยังไม่ควรจะละเลิก อรรถะ กับกามะ โดยสิ้นเชิง

บรรดาพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเบียดเบียนชีวิตมนุษย์ และสัตว์ที่เรียกว่ายัญกรรมนั้นคณาจารย์พราหมณ์ในพระราชอาณาจักรไทยได้เลิกไปหมดสิ้นเพราะขัดกับพื้นฐานของสังคมชาวพุทธ คงเหลือแต่การประกอบพิธีสาธยายพระเวท สร้างมงคลล้างอัปมงคล ดำเนินงานทางศาสนาคู่ไปกับพระพุทธศาสนาอีกทั้งคณาจารย์พราหมณ์ได้เป็นอุบาสก ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เจริญรอยตามพระยุคลบาทพระมหากษัตริย์แห่งพระราชอาณาจักรไทยมาตั้งแต่โบราณกาลด้วยเหตุนี้จึงเกิดมีคำว่าพุทธกับไสย อิงอาศัยกันปัจจุบันมีพิธีกรรมพราหมณ์บางอย่างก็มีพุทธเจือปนเช่นมีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ท้ายพระราชพิธีตรียัมปวาย ตรีปาวาย เป็นต้นเรื่องของพุทธก็มีพราหมณ์แทรกเช่น การเดินประทักษิณรอบวัตถุสถานมงคลการจุมเจิมลูกนิมิตร การรดน้ำสังข์ให้เจ้านาค การเบิกพระเนตรพระพุทธปฏิมาเป็นต้น วันสำคัญอันดับแรก นวราตรีทำการบูชาเจ้าแม่อุมาซึ่งมีเก้าปางด้วยกันคือ ไศลปุตรี เป็นปางแรก พระแม่อุมาเป็นบุตรีของภูเขาคือเป็นธิดาของหิมพานซึ่งเป็นราชาแห่งภูเขาทั้งหลาย พรหมฮาริณี เป็นปางที่สองเป็นปางที่เกิดขึ้นเอง ไม่มีพ่อแม่ และไม่แต่งงาน อยู่เป็นโสด จันทร ฆัณฎา เป็นปางที่สามเป็นปางที่ปราบอสูรด้วยเสียงระฆัง ภูษามาณฑา เป็นปางที่สี่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าปางทุรคาเป็นปางปราบอสูร ด้วยอาวุธทั้งสี่กร ษกันทมาตา เป็นปางที่ห้าเป็นปางเลี้ยงพระคันธกุมาร ซึ่งเป็นโอรสพระศิวะกับอุมาเทวีหรือปารวดีซึ่งจะไปปราบอสูรต่อไป กาตยายนี เป็นปางที่หกเป็นปางเทวีของปีศาจ โดยใช้พวกภูติผีปีศาจไปปราบอสูร
กาลราตรี เป็นปางที่เจ็ด เป็นปางเสวยเลือดอสูร มหาเคารี เป็นปางที่แปด เป็นปางเป็นเจ้าแม่แห่งธัญชาติ ทำให้ธัญชาติสมบูรณ์ สิทธิธาตรี เป็นปางที่เก้า เป็นปางที่กลับเป็นเจ้าแม่แห่งความสำเร็จ พิธีฉลองวันวิชยาทศนี หรือทศหราหรือคูเชร่า ในวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด
พิธีดูเซร่าหรือนาวราตรีเป็นพิธีเก่าแก่สืบเนื่องมาแต่โบราณในสมัยพระเวท และได้ตกทอดมาสู่เมืองไทยโดยชาวอินเดียยุคโบราณ มีการประกอบพิธีบูชาองค์เจ้าแม่และองค์เทพต่าง ๆ รวม ๑๐ วัน๑๐ คืนในคืนสุดท้ายจะมีการเชิญองค์เจ้าแม่นำหน้าขบวนแห่ออกไปนอกเทวาลัย
ในงานพิธีประชาชนจะพากันถือศีลกินมังสะวิรัต บ้างก็บำเพ็ญกุศลบนบานศาลกล่าวขอโชคลาภในวันวิชัยทัสมิ เจ้าแม่อุมาเทวีจะมาปรากฎในร่างของคนทรงเพื่อแสดงนาฎลีลานำหน้าขบวนแห่ไปเยี่ยมเยียนบรรดาสานุศิษย์ผู้ศรัทธาตามเคหะสถานบ้านเรือนต่างๆ
การประกอบพิธีมีการปลุกเสกร่ายพระเวทรวม ๙ วัน ๙ คืนถือกันว่าผู้ที่มาร่วมพิธีจะได้รับพระชัยมงคลเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
วันสำคัญอันดับที่สอง เรียกว่า อกษัยตริติยา ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๖ เชื่อกันว่าบุญที่ทำในวันนี้จะทรงอยู่ชั่วนิรันดร และในวันนี้ ปรศุราม อวตารปางที่ ๕ ของพระนารายณ์จะมาปรากฎ
วันสำคัญอันดับสาม เรียกว่านฤสิงหจตุรทศี ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันปรากฎของพระนารายณ์ ปางที่สามชื่อนฤสิงห์ การประกอบพิธีบูชาพระนารายณ์ในวันนี้เพื่อพิชิตศัตรู
นสำคัญอันดับสี่ เรียกว่าไวศาขีปูรณิมา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันศูนย์กลางของสงกรานต์ถือว่าเป็นวันเพ็ญแรกของปี มีการทำพิธีบูชาไฟ และทำบุญตามประเพณีของตระกูล เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาสู่โลก ตรัสรู้ และปรินิพพานถ้าที่ใดมีพระพุทธรูปอยู่จะต้องแห่พระพุทธรูปนั้น
วันสำคัญอันดับห้า เรียกว่าเมษสงกรานต์ ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน และทุกปี จัดทำการบูชาพระนารายณ์บางรัฐถือว่าเป็นวันปีใหม่ด้วย
วันสำคัญอันดับหก เป็นวันขึ้น ๑๐ค่ำ เดือน ๗ เป็นวันแรกที่น้ำจากพรหมโลกไหลลงมาสู่โลกนี้ ที่ต้นของแม่น้ำคงคาคือน้ำจากเศียรพระศิวะไหลลงสู่ภูเขาหิมาลัย แล้วลงสู่แม่น้ำคงคาชาวบ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำคงคาจะจัดเล่นกีฬาในน้ำ
นสำคัญอันดับเจ็ด เรียกว่านิรชลาเอกทศี ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๗ เป็นวันบูชาพระนารายณ์ โดยการอดอาหาร และน้ำ เป็นเวลา ๑๔ ชั่วโมง
วันสำคัญอันดับแปด เรียกว่า ชเชษฐิปูรณิมา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ เป็นวันเริ่มจตุรมาศคือ วันเริ่มต้นเข้าพรรษาเป็นเวลาสี่เดือน ผู้เป็นสันยาสี จะต้องอยู่ประจำที่สี่เดือน
วันสำคัญอันดับเก้า เรียกว่า วันรถยาตรา ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๘ มีการนำรูปปฎิมาของพระนารายณ์ขึ้นรถแห่ภายในเขตหมู่บ้านเพื่อให้คนบูชา
วันสำคัญอันดับสิบ เรียกว่าคุรุปูรณิมา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันบูชาครูบาอาจารย์ มหาฤษีวยาสได้รับความสำเร็จในการแต่งตำราต่าง ๆ วันเริ่มต้นเขียนตำรา และวันเขียนตำราจบ วันเริ่มต้นสอนศิษย์ พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ธรรมจักรกัปวัตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์ในวันนี้
นสำคัญอันดับ ๑๑ เรียกว่านาคปัญจมี ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๙ ชาวพราหมณ์ฮินดูทำการบูชาพญานาค เอาน้ำนมให้งูและพญานาคกิน
วันสำคัญอันดับ ๑๒ เรียกว่าศราวณีปูรณิมา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ พวกพราหมณ์จะพากันไปสู่แม่น้ำสายต่า งๆ แต่เช้า ทำพิธีทางพระเวทจนบ่าย ต้องอยู่ในน้ำตลอดระยะเวลาที่อ่านคัมภีร์พระเวท โดยการกล่าวอุทิศบุญกุศล ที่ทำนั้นให้แก่บรรพบุรุษทุกคน ตอนเย็นจะมีศิษย์มาหาอาจารย์ อาจารย์ก็ผูกสายสิญจ์ที่ข้อมือให้ถือว่าเป็นมงคลตลอดปี
วันสำคัญอันดับ ๑๓ เรียกว่าคเณศจตุรถี แรม ๔ ค่ำ เดือน ๙ เป็นวันบูชาพระคเณศ ต้องอดอาหารตลอดวันจนกว่าจะทำพิธีเสร็จ และไหว้พระจันทร์ที่ปรากฎขึ้นแล้วจึงจะบริโภคอาหารได้
วันสำคัญอันดับ ๑๔ เรียกว่าหลษัษฐี แรม ๖ ค่ำ เดือน ๙ เป็นวันบูชาสุรยิเทพ และพี่ชายของพระกฤษณะ ชื่อ พลเทพซึ่งเป็นอวตารของพญานาค
วันสำคัญอันดับ ๑๕ เรียกว่าศรีกฤษณะชนมาอัฎฐมี แรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ เป็นวันที่พระกฤษณะมาปรากฎมีการฉลองอย่างมโหฬารผู้ที่เคร่งครัดจะอดอาหารตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงคืน
วันสำคัญอันดับ ๑๖ เรียกว่ากุโศตาปาฎนีอมาวสยา แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ อาจารย์และศิษย์ที่กำลังเรียนพระเวทอยู่จะไปเก็บหญ้าคา เพื่อนำมาใช้ในพิธีต่างๆ
วันสำคัญอันดับ ๑๗ เรียกว่า หรตาลิกาตฤติยา ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ เป็นวันสำคัญของพระแม่อุมา และพระศิวะ ตอนที่พระแม่อุมายังเป็นพรหมจาริณีกุมารี ได้บำเพ็ญตบะวิงวอนให้พระศิวะแต่งงานด้วย พระศิวะได้มาปรากฎและให้สัจจสัญญาว่าจะแต่งงานด้วย และให้พรว่า สตรีใดบำเพ็ญตบะ ในวันนี้จะได้สามีที่ดีและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
วันสำคัญอันดับ ๑๘ เรียกว่า มหาลัยปูรณิมา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ นับแต่วันนี้ไปจนถึงวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๐ในระยะเวลา ๑๖ วัน จะมีการทำพิธีบูชาดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ที่ล่วงลับไปแล้ว โดยการเชิญสันยาสี มาฉันอาหารที่บ้าน เป็นการทำบุญให้ผู้ตายซึ่งต้องทำให้ตางกับดิถีที่ตาย
วันสำคัญอันดับ ๑๙ เรียกว่านวราตรี ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง ๙ ค่ำ เดือน ๑๑ จัดเป็นพิธีบูชาติดต่อกันไป ๙วัน
วันสำคัญอันดับ ๒๐ เรียกว่าวิชยาทศมี ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑ ทำพิธีบูชาพระอุมาเทวี เป็นวันที่พระอุมาปราบอสูรได้รับชัยชนะ ใครบูชาพระอุมาในวันนี้จะได้ชัยชนะตลอดปี ถือว่าเป็นวันสำคัญของวรรณกษัตริย์ อาวุธทุกประเภทที่มีอยู่ในบ้านจะต้องนำออกมาให้พราหมณ์เจิม เพื่อความเป็นสิริมงคล
วันสำคัญอันดับ ๒๑ เรียกว่า ศรทปูรณิมา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ มีการทำพิธีบุชาพระนารายณ์สิ่งที่นำมาบูชาจะเป็นประเภทใด ก็ตามต้องเป็นสีขาวล้วน วันนี้เป็นวันบรรจบครบจตุรมาศ ตรงกับวันออกพรรษาของไทย
วันสำคัญอันดับ ๒๒ เรียกว่า อันเตรส แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ มีการทำพิธีบูชาพระลักษมี พระคเณศและพระกุเวร พระแม่สุรัสวดี และพระอินทร

วันสำคัญอันดับ ๒๓ เรียกว่านรกจตุรทสี แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ เวลากลางวันทำพิธีบูชาพระยม เวลากลางคืนจุดประทีปถวายพระยม เชื่อกันว่าเมื่อทำแล้วจะไม่ไปสู่นรกหากมีกรรมหนักหนีนรกไม่พ้น ก็จะเดินทางไปนรก โดยมีประทีปนำทางให้สว่าง วันนี้ถือเป็นวันเกิดของหนุมานด้วย
วันสำคัญอันดับ ๒๔ เรียกว่าทับมาสิกา แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ทำการบูชาเทพเจ้าทั้งห้าและถือว่าเป็นวันสำคัญของพระแม่ลักษมี การบูชาทำในตอนเย็น มีการจุดประทีปโคมไฟไว้ในบ้านตลอดคืน เพื่อต้อนรับพระแม่ลักษมี เป็นวันสำคัญของวรรณะแพทศย์
วันสำคัญอันดับ ๒๕ เรียกว่า อันนกูฎะ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ผู้ทำพิธีจะต้องนำอาหาร ๕๖ อย่างไปถวายเทพเจ้าในเทวาลัยทุกแห่ง
วันสำคัญอันดับ ๒๖ เรียกว่า ยมทวิตียา ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ วันนี้พี่ชายหรือน้องชายต้องไปบริโภคอาหารที่บ้านพี่สาว หรือน้องสาว ผู้ชายต้องนำของขวัญไปให้พี่สาว หรือน้องสาว เสร็จแล้วพี่สาว หรือน้องสาวก็เจิมดิลกที่หน้าพี่ชายหรือน้องชาย เพื่อเป็นสิริมงคล
วันสำคัญอันดับ ๒๗ เรียกว่า วามนทวาทศี ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นวันประสูติของพระวามนะ ซึ่งเป็นอวตารปางที่ ๕ ของพระนารายณ์ มีการบูชาถวายพระรามนะทำให้เป็นผู้มีสติปัญญารุ่งเรือง
วันสำคัญอันดับ ๒๘ เรียกว่าไวกุณฐจตุรทศี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นวันบูชาพระนารายณ์ ผู้ที่ทำการบูชาตายแล้วจะไปเกิดในโลกไวกุณฐะ มีการบูชาพระนารายณ์กับพระศิวะสลับกันไปการบูชาพระนารายณ์จะได้ผลทางจิตใจส่วนการบูชาพระศิวะจะได้ผลทางวัตถุ
วันสำคัญอันดับ ๒๙ เรียกว่าศารทัยปูาณิมาที่สอง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นการบูชาพระนารายณ์และถวายประทีปแก่เทพเจ้าทั้งหลายในเทวาลัยต่าง ๆ บนท้องฟ้าและในน้ำ ถือว่าเมื่อถวายประทีปแล้วจะได้รับแสงสว่างในภายใน ดวงประทีปจะนำวิญญาณของผู้ถวายเมื่อตายไปสู่สุคติ
วันสำคัญอันดับ ๓๐ เป็นวันขึ้น ๖ค่ำ เดือนยี่ ถึงแรม ๖ ค่ำ เดือนยี่ เป็นเวลา ๑๖ วัน ๑๕ คืน เรียกว่าพระราชพิธีตรียัมพวาย - ตรีปาวาย เป็นพิธีถวายของสักการะเทพเจ้าที่ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ประเทศและประชาชน โดยพิธีโล้ชิงช้า เป็นตำนานบูชาพระอิศวร
วันสำคัญอันดับ ๓๑ เรียกว่า วสันตปัญจมี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีการบูชาพระแม่สุรัสวดี เพื่อให้มีสติปัญญาดีขึ้น ทำการบูชาพระกามเทพด้วย เพื่อป้องกันมิให้จิตตกไปสู่อารมณ์ฝ่ายต่ำ มีการบูชาพระนารายณ์ด้วย
วันสำคัญอันดับ ๓๒ เรียกว่ามาฆีปูรณิมา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ผู้นับถือเทพเจ้าองค์ใดก็จะบูชาเทพเจ้าองค์นั้นวันนี้เป็น

วันที่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมายพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฎิโมกข์
วันสำคัญอันดับ ๓๓ เรียกว่าวันมาฆสงกรานต์ วันที่ ๑๔ มกราคม ของทุกปี เป็นวันสงกรานต์ มีการนำข้าวกับถั่วปนกันถวายเทพเจ้า พราหมณ์ และสันยาสี
วันสำคัญอันดับ ๓๔ เรียกว่า ศิวาราตรี แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ จะมีการบุชาพระศิวะ ตลอด ๒๔ ชั่วโมงผู้นับถือเคร่งครัด จะอดอาหารอดนอน ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เป็นวันปรากฎของพระศิวะ และวันแต่งงานของพระศิวะ
วันสำคัญอันดับ ๓๕ เรียกว่า โหลีปูรณิมา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ มีการนำเอาของสกปรกออกจากบ้านไปรวมไว้ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งแล้วเผา ขณะที่เผาจะร้องเพลงประเภทลูกทุ่ง เรียกว่าเพลงโหลี
วันสำคัญอันดับ ๓๖ เรียกว่า โหลีหรือโหลา มีการฉลองโหลี มีเล่นนีต่า ง ๆ เช่นเดียวกับวันสงกรานต์ที่ไทยเราเล่นสาดน้ำกัน คนส่วนมากถือว่าเป็นวันตรุษอินเดียเป็นวันสำคัญของพวกกรรมกรวรรณะศูทร




ขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.heritage.thaigov.net/


พระตรีมูรติ
พราหมณ์
02/03/15
พราหมณ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พราหมณ์  เป็นวรรณะหนึ่งในแนวคิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น วิปฺระ, ทฺวิช, ทฺวิโชตฺตมะ หรือ ภูสร เป็นต้น

พราหมณนั้นเป็นวรรณะหนึ่งในสี่วรรณะของสังคมอินเดีย เป็นผู้สืบทอดวิชาความรู้ ในคัมภีร์ ไตรเวท พิธีกรรม จารีต ประเพณี ศิลปะวัฒนธรรม และคติความเชื่อต่าง ๆ ให้สืบทอดต่อไป หรือไม่สืบทอดก็ได้โดยใช้ชีวิตตามปกติชนคนธรรมดาทั่วไป คงไว้ให้ผู้ใดในตระกูลสืบทอดแทน เป็นผู้มีสิทธิ์เลือก แบ่งแยกเป็นนิกายคือ พวกไศวนิกาย จะถือเพศ นุ่งขาว ห่มขาว ไว้มวยผม ถือศีล จริยาวัตรของพราหมณ์ มีครอบครัวได้ อยู่บ้าน หรือ เทวะสถาน ประจำลัทธิ นิกายแห่งตน อีกนิกายหนึ่งคือ ไวษณวะนิกาย จะไว้ผมเปียหรือมวยผม ถือเพศพรหมจรรย์ กินมังสวิรัติ ไม่ถูกต้องตัวสตรีเพศ นุ่งห่มสีขาว หรือสีต่าง ๆตามวรรณะนิกาย และอาศัยอยูในเทวสถาน

ในการบวชเป็นพราหมณ์หลวง จะต้องได้รับความยินยอมจากที่ประชุมพราหมณ์ ในทำเนียบพราหมณ์หลวง โดยผู้บวชจะนำของมาถวายพราหมณ์ผู้ใหญ่ แล้วพราหมณ์ผู้ใหญ่จะมอบสายสิญจน์รับพราหมณ์ใหม่ หรือทวิชาติ ซึ่งหมายถึงการเกิดครั้งที่ 2 ซึ่งการบวชพราหมณ์ไม่ได้มีกฎปฏิบัติจำนวนมากเหมือนกับการบวชพระ โดยถือศีล 5 เป็นศีลปฏิบัติ สามารถแต่งกายสุภาพเหมือนผู้ชายทั่วไปในเวลาปกติ และสวมเครื่องแบบเป็นเสื้อราชปะแตนและโจงกระเบนสีขาวในยามประกอบพิธีกรรม รวมถึงสามารถมีภรรยาเพื่อมีทายาทสืบตระกูลพราหมณ์ต่อไปได้

กระนั้นก็ยังมีข้อห้ามบางประการที่พราหมณ์ไม่สามารถทำได้ อาทิ ห้ามรับประทานเนื้อวัว ปลาไหล และงูต่างๆ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบริวารของเทพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และห้ามตัดแต่งผม ต้องไว้ผมยาวแล้วมุ่นเป็นมวยไว้ที่ท้ายทอย เพราะตามหลักศาสนาเชื่อว่าบริเวณดังกล่าวเป็นที่อยู่ของเทวดา

สำหรับกิจประจำวันที่พราหมณ์ต้องทำ คือนมัสการพระอาทิตย์ตามเวลาเช้า กลางวัน เย็น เพื่อเป็นการนำจิตวิญญาณกลับไปสู่พรหม กล่าวคือ การไหว้พระอาทิตย์จะนำแสงสว่างให้เกิดในปัญญานำไปสู่การหลุดพ้น และจะมีการสาธยายพระเวท ซึ่งถือเป็นคัมภีร์หลักในศาสนาพราหมณ์ ประกอบด้วย ฤคเวท ใช้สวดสรรเสริญเทพเจ้า สามเวท ใช้สำหรับสวดในพิธีกรรมถวายน้ำโสมแก่พระอินทร์และขับกล่อมเทพเจ้า ยชุรเวท ว่าด้วยระเบียบวิธีในการประกอบพิธีบูชายัญและบวงสรวงต่างๆ และ อาถรรพเวท ใช้เป็นที่รวบรวมคาถาอาคมหรือเวทมนตร์

ปฏิบัติต่อเทพด้วยความศรัทธา

ปัจจุบันพราหมณ์หลวงจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับ พระราชพิธีต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ ในการอัญเชิญพระผู้เป็นเจ้าและทวยเทพตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มาเป็นสักขีในการกระทำพิธีนั้นๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแด่องค์พระมหากษัตริย์ ราชบัลลังก์ และบ้านเมือง โดยงานพระราชพิธีจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ งานประจำปี ได้แก่ งานเฉลิมพระชนมพรรษา วันฉัตรมงคล วันพืชมงคล การเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต เป็นต้น และงานตามวาระ อาทิ พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อปีที่แล้ว เป็นต้น

หน้าที่ของพราหมณ์หลวงคือการรักษาวัฒนธรรมในการประกอบพระราชพิธีถวายตามโอกาสต่างๆ แต่ก็สามารถรับประกอบพิธีอื่นๆ ที่นอกเหนือจากงานพระราชพิธีได้ เรียกว่า รัฐพิธี เป็นงานที่ถูกเชิญมาจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น วางศิลาฤกษ์ ยกเสาเอก งานวันเกิด งานตัดจุก ตั้งศาลพระภูมิ ซึ่งจะมีเงินทักษิณามอบให้พราหมณ์ตามศรัทธา

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีตระกูลพราหมณ์ที่ปฏิบัติหน้าที่ถวายงานพระราชพิธี หรือที่เรียกกันว่า พราหมณ์หลวง ซึ่งสืบสายมาจากบรรพบุรุษทั้งสิ้น 7 ตระกูล ได้แก่ สยมภพ โกมลเวทิน นาคะเวทิน วุฒิพราหมณ์ ภวังคนันท์ รัตนพราหมณ์ และรังสิพราหมณกุล




ท่านพราหมณ์ในอินเดีย
พิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์
02/03/15
พิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
1.พิธีสังสการ
เป็นพิธีกรรมที่คนในวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์และวรรณะไวศยะจะต้องทำโดยมีพราหมณ์หรือนักบวชเป็นผู้ทำพิธี จำนวน 12 ประการ คือ
1) ครรภาธาน เป็นพิธีที่จัดขึ้นเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ ถัดจากวันวิวาห์
2) ปุงสวัน เป็นพิธีปฏิบัติต่อเด็กในครรภ์ที่เข้าใจว่าเป็นเพศชาย
3) สีมันโตนยัน เป็นพิธีตัดผมหญิงมีครรภ์ เมื่อตั้งครรภ์ได้ 4, 6 หรือ 8 เดือน
4) ชาตกรรม พิธีคลอดบุตร
5) นามกรรม พิธีตั้งชื่อเด็ก ในวันที่ 12 หรือ 14 ถัดจากวันคลอด
6) นิษกรมณ พิธีนาเด็กออกไปดูแสงอาทิตย์ยามเช้า เมื่ออายุได้ 4 เดือน
7) อันนปราศัน พิธีป้อนข้าวเด็ก เมื่ออายุได้ 7 เดือนหรือ 8 เดือน
8) จูฑากรรม พิธีโกนผมไว้จุก เมื่ออายุได้ 3 ขวบ
9) เกศานตกรรม พิธีตัดผม ถ้าเป็นวรรณะพราหมณ์ตัดเมื่ออายุ 16 ปี ถ้าวรรณะกษัตริย์ ตัดเมื่ออายุ 22 ปี ถ้าวรรณะพราหมณ์ตัดเมื่ออายุ 24 ปี
10) อุปานยัน พิธีเข้ารับการศึกษา พวกวรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ จะต้องทำพิธีเข้ารับการศึกษา และเมื่ออาจารย์ในสานักนั้นๆ รับเด็กไว้แล้วก็จะสวมสายธุรา หรือยัชโญปวีต ผู้ที่ได้สวมสายนี้แล้วก็เรียก ว่า ทวิชหรือทิชาชาติ ได้แก่ เกิด 2 ครั้ง คือครั้งแรกเกิดจากครรภ์มารดา และครั้งที่ 2 เกิดจากการสวมสายยัชโญปวีต ส่วนพวกศูทรและจัณฑาลเป็นเอกชาติ คือ เกิดครั้งเดียวไม่อาจเป็นทวิชาติได้
11) สมาวรรตน์ พิธีกลับบ้าน จัดขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มสาเร็จการศึกษาและเตรียมตัวกลับบ้าน
12) วิวาหะ พิธีแต่งงาน
พิธีสังสการทั้ง 12 ประการ ถ้าเป็นผู้หญิงห้ามทำพิธีอุปานยันอย่างเดียว นอกนั้นทำได้หมด และห้ามสวดคัมภีร์พระเวท เพราะเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สงวนเฉพาะผู้ชาย และคนบางวรรณะเท่านั้น

2.พิธีศราทซ์
            เป็นพิธีทำบุญอุทิศให้มารดาบิดา หรือบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ในเดือน 10ตั้งแต่วันแรม 1ค่า ถึงวันแรม 15 ค่า การทำบุญอุทิศนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บิณฑะ

3.พิธีบูชาเทวดาหรือบูชาเทพเจ้า
           ผู้ที่เกิดในวรรณะสูงสมัยก่อนได้บูชาพระศิวะและพระวิษณุ เป็นต้น เวลาต่อมาเกิดลัทธิอวตารขึ้น มีการบูชาพระกฤษณะและพระรามขึ้นอีก แต่บุคคลในวรรณะต่ามักถูกกีดกันมิให้ร่วมบูชาเทพเจ้าของบุคคลในวรรณะสูง ดังนั้น บุคคลในวรรณะต่าจึงต้องสร้างเทพเจ้าของตนเองขึ้น เช่น เจ้าแม่กาลี เทพลิง เทพงู เทพเต่า รุกขเทพ เทพช้าง เป็นต้น การทำพิธีบูชานั้นก็มีความแตกต่างกันออกไปตามวรรณะ แต่บุคคลในวรรณะสูงมีพิธีในการบูชาพอจะกาหนดได้ ดังนี้
1) สวดมนต์ภาวนา สนานกาย ชาระและสังเวยเทวดาทุกวัน สาหรับผู้เคร่งครัดในศาสนาต้องทำเป็นกิจวัตร ส่วนพวกที่ได้รับการศึกษาแผนใหม่มักไม่ค่อยปฏิบัติกัน
2) พิธีสมโภช ถือศีล และวันศักดิ์สิทธิ์ เช่น ลักษมีบูชา วันบูชาเจ้าแม่ลักษมี สรัสวดีบูชา วันบูชาเจ้าแม่สรัสวดี ทุรคาบูชา วันบูชาเจ้าแม่ทุรคา เป็นต้น ซึ่งอาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละนิกายและท้องถิ่น
3) การไปนมัสการบาเพ็ญกุศลตามเทวาลัยต่างๆ เพื่อแสดงความเคารพเทพเจ้าที่ตนนับถือ

ตำแหน่งพระครูพราหมณ์
02/03/15
ตำแหน่งพระครูพราหมณ์
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ
ดังเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า เทวสถานโบสถ์พราหมณ์สำหรับพระนครนั้นเป็นที่พำนักของพราหมณ์ราชสำนัก พราหมณ์เหล่านี้ มีฐานะเป็นข้าราชการในพระราชสำนัก ขึ้นตรงต่อกองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง สันนิษฐานว่า การแต่งตั้งตำแหน่งพราหมณ์เหล่านี้ มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ต่อมา ในสมัยอยุธยาปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า สมัยนั้นมีตำแหน่งพระครูพราหมณ์อยู่หลายตำแหน่ง ที่กล่าวตรงกันในพระราชพงศาวดาร และคำให้การต่างๆ ได้แก่ ตำแหน่งพระครูพิธี พระครูปุโรหิต พระครูพิเชษฐ์ และพระครูมหิธร

อนึ่ง เรื่องบทบาทหน้าที่ของพราหมณ์แต่ละตำแหน่งในสมัยอยุธยานั้นยังไม่เป็นที่ยุติ เนื่องจากเอกสารหลักฐานไม่เพียงพอ โดยเฉพาะตำแหน่ง พระครูพิเชษฐ์ และพระครูมหิธร ที่มีอ้างถึงในกฎมนเทียรบาล ซึ่งระบุหน้าที่เพียงแค่ถวายน้ำกลศ ในพระราชพิธีตรียัมพวายของหลวงเท่านั้น ส่วนตำแหน่ง พระครูพิธีนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในหนังสือ "สาส์นสมเด็จ" เล่ม ๑๔ ว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปศาสตร์สำหรับฝึกสอนวิชาต่างๆ เช่น คชกรรม พวกหนึ่ง พระครูพิธีนี้ถือลัทธิไศวนิกาย ซึ่งคือพราหมณ์ราชสำนักในปัจจุบันนั่นเอง ส่วนตำแหน่งพระครูปุโรหิต เป็นพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญพระธรรมศาสตร์สำหรับพิจารณาพิพากษาคดี และเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน

ต่อมาใน พ.ศ. ๑๙๙๘ รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้มีการตรากฎหมายศักดินา และกล่าวถึงตำแหน่งของพราหมณ์ พร้อมศักดินาแยกไว้อย่างชัดเจน ซึ่งใช้กันมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยมีรายละเอียดในกฎหมายตราสามดวง เล่ม ๑  ดังนี้

พระมหาราชครู พระครูมหิธรธรรมาธิราชสุภาวดีศรีวิสุทธิคุณวิบูลธรรมวิสุทธิพรม
จาริยาธิบดีศรีพุทธาจารย นา ๑๐๐๐๐
พระราชครู พระครูพิเชดษรราชพิบดีศรีษรคม นา ๕๐๐๐
พระธรรมสาสตรราชโหระดาจารย์ ปลัดมหิธร นา ๓๐๐๐
พระอัฐยาปรีชาธิบดีโหระดาจารย์ ปลัดพระครูพิเชด นา ๓๐๐๐
พระญาณประกาษอธิบดีโหระดาจารย์ นา ๓๐๐๐
พระศรีสังกอรอธิบดีโหระดาจารย์ นา ๓๐๐๐
ขุนไชยอาญามหาวิสุทธิวงษาจารย์ นาคล ๑๕๐๐
พระมหาราชครู พระราชประโรหิตาจารย์ ราชสุภาวดีศรีบรมหงษองคปุริโสดมพรหมญาณ
วิบูลสิล สุจริตวิวิทธเวทยพรหมพุทธาจารย์ นา ๑๐๐๐๐
พระราชครู พระครูพิรามราชสุภาวดีตรีเวทจุฑามะณีศรีบรมหงส์ นา ๕๐๐๐
พระเทพราชธาดาบดีศรีวาสุเทพ ปลัดพระราชครูประโรหิต นา ๓๐๐๐
พระจักปานีศรีสิลวิสุทธิ ปลัดพระครูพิราม นา ๓๐๐๐
พระเกษมราชสุภาวดีศรีมณธาดูลราช เจ้ากรมแพ่งกระเษม นา ๓๐๐๐
ขุนสุภาเทพ ๑ ขุนสภาพาน ๑ ปลัดนั่งศาล นาคล ๔๐๐
ขุนหลวงพระไกรศรีราชสุดาอดิศรีมณฑาดลราช เจ้ากรมแพ่ง นา ๓๐๐๐
ขุนสุภาเทพ ๑ ขุนราชสุภาไชย ๑ ปลัดนั่งศาล นาคล ๔๐๐
พระครูราชพิทธี จางวาง นา ๑๐๐๐
พระครูอัศฎาจารย์ เจ้ากรม นา ๘๐๐
หลวงราชมณี ปลัดกรม นา ๖๐๐
ขุนพรมไสย ครูโล้ชิงช้า นา ๔๐๐
ขุนธรรมณธราย สมุบาญชีย นา ๓๐๐
ขุนในกรม นา ๓๐๐ หมื่นในหรม นา ๒๐๐ พราหมเลวรักษาเทวสถาน นาคล ๕๐
พระอิศวรธิบดีศรีสิทธิพฤทธิบาท จางวาง นา ๘๐๐
หลวงสิทธิไชยบดี เจ้ากรม นา ๘๐๐
หลวงเทพาจาริยรองพระตำรับขวา นาคล ๖๐๐
หลวงอินทรฤๅไชยไชยาธิบดีศรียศบาทรองพระตำรับซ้าย นาคล ๖๐๐
ขุนในกรมพฤทธิบาท นา ๓๐๐ หมื่นในกรมพฤทธิบาท นา ๒๐๐
ประแดงราชมณี นา ๒๐๐

จากกฎหมายศักดินาในสมัยอยุธยาข้างต้น จะเห็นได้ว่ามีการแบ่งตำแหน่งออกเป็นชั้นพระมหาราชครู พระราชครู พระครู รวมถึงขุนนางที่เกี่ยวเนื่องกับคณะพราหมณ์ บางตำแหน่งได้สืบทอดมาถึงในสมัยรัตนโกสินทร์ด้วย

ในเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าเมืองหรือผู้ปกครองเมืองได้แต่งตั้งพราหมณ์บางคนให้เป็นหัวหน้าและผู้ช่วยรองๆ ลงไป เช่นเดียวกับในราชสำนักอยุธยา เช่น หัวหน้าพราหมณ์ในนครศรีธรรมราช มีตำแหน่ง แผดงธรรมนารายณ์ มีหน้าที่ปกครองคณะพราหมณ์และดูแลรักษาเทวรูปและเทวสถานต่างๆ รองหัวหน้ามีตำแหน่ง แผดงศรีกาเกีย สองตำแหน่งนี้ ได้รับแต่งตั้งจากกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ต่อมา หัวหน้าคณะพราหมณ์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นออกพระธรรมนารายณ์ฯ ผู้ช่วยได้เลื่อนเป็นที่ออกพระศรีราชโภเบนทรฯ หัวหน้าพราหมณ์ชั้นหลังๆ ต่อมาได้รับอิสริยยศเป็นที่ พระรามเทพมุนีศรีกษัตริย์สมุทร

ในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้มีการบันทึกรายนามผู้ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นพระมหาราชครูประจำแต่ละรัชกาล นับตั้งแต่รัชกาลที่ ๑  ซึ่งในเอกสารลายมือของพระมหาราชครูพิธี (สวาสดิ์ รังสิพราหมณกุล)  บันทึกไว้ว่า

ได้พบประวัติพราหมณ์นี้ในสมุดข่อยในพระบรมมหาราชวัง จึงได้คัดลอกไว้ มีดังนี้

รัชกาลที่ ๑    มีพระมหาราชครูพิธี ชื่อ  สมบุญ
รัชกาลที่ ๒    มีพระมหาราชครูพิธี ชื่อ  บุญคง
รัชกาลที่ ๓    มีพระมหาราชครูพิธี ชื่อ  ทองคำ
รัชกาลที่ ๔    มีพระมหาราชครูพิธี ชื่อ  พุ่ม
รัชกาลที่ ๕    มีพระมหาราชครูพิธี ชื่อ อ่าว
รัชกาลที่ ๖    มีพระมหาราชครูพิธี ชื่อ อุ่ม  คุรุกุล
รัชกาลที่ ๗    มีพระราชครูวามเทพมุนี (หว่าง   รังสิพราหมณกุล)
รัชกาลที่ ๘    มีพระมหาราชครูพิธี (สวาสดิ์   รังสิพราหมณกุล)
รัชกาลที่ ๙    มีพระราชครูวามเทพมุนี (สมจิตต์   รังสิพราหมณกุล)
        พระครูอัษฎาจารย์ (ละเอียด  รัตนพราหมณ์)
ปัจจุบัน ได้แก่ พระราชครูวามเทพมุนี  (ชวิน  รังสิพราหมณกุล)



ปัจจุบันการแต่งตั้งพราหมณ์ราชสำนัก มีระเบียบปฏิบัติคือ ต้องมีเชื้อสายของพราหมณ์ และต้องเป็นบุตรของพราหมณ์ราชสำนัก ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ ๗ สายตระกูล ได้แก่ รังสิพราหมณกุล รัตนพราหมณ์ ภวังคนันท์ สยมภพ วุฒิพราหมณ์ นาคะเวทิน โกมลเวทิน นอกจากนี้ ยังต้องได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าคณะพราหมณ์ราชสำนัก แล้วจึงได้บวชเรียกว่า "บวชสามสาย" ต่อมา เมื่อพระครูพราหมณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นพราหมณ์ราชสำนัก ก็จะเสนอชื่อไปยังกองพระราชพิธี แล้วจึงบรรจุเป็นพราหมณ์ประจำราชสำนัก แต่ยังไม่สามารถประกอบพระราชพิธีได้จนกว่าพระครูพราหมณ์จะเห็นชอบ จึงได้บวชเรียกว่า "บวชหกสาย" จากนั้นเสนอต่อกองพระราชพิธี และเสนอต่อไปยังสำนักพระราชวัง เพื่อนำความกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่อไป

สำหรับตำแหน่งพระราชครูพราหมณ์ในปัจจุบันคือ ตำแหน่ง "พระมหาราชครู" หรือที่เรียกกันว่า คุณพระใหญ่ หมายถึง พระราชครูที่ได้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแด่พระมหากษัตริย์ แล้วจึงได้เลื่อนตำแหน่ง ดังนั้น ในแต่ละรัชกาล จึงมีพระมหาราชครูเพียง ๑ ท่าน ตำแหน่งรองลงมาคือ พระราชครู ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะพราหมณ์ ที่ไม่ได้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตำแหน่งต่อมาคือ พระครู และพราหมณ์ ตามลำดับ


หลักธรรมในศาสนาพราหมณ์
02/03/15
หลักธรรมในศาสนาพราหมณ์- ฮินดู
               ศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาดั้งเดิมของชนเผ่าอริยกะหรืออารยัน ในสมัยพุทธกาลเป็นศาสนาพราหมณ์แต่ในปัจจุบันเป็นศาสนาฮินดู  ในศาสนาพราหมณ์คำว่า ธรรม แปลได้หลายอย่าง คือแปลว่าหน้าที่ก็ได้   แปลว่าสิ่งที่ควรทำก็ได้ นอกจากนี้ยังแปลได้ว่า ความเจริญ ความรู้ของจริงการรู้ความถูกต้อง และรู้ตรรกศาสตร์หลักธรรมสำคัญในศาสนามีดังนี้

พระธรรมศาสตร์ มีอยู่ ๑๐ ประการ

๑.ธฤติ คือ ความพอใจ คล้ายกับคำว่าสันโดษ มีความพยายามอยู่ด้วยความมั่นคงเสมอ ความรู้สึกยินดี และพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่โดยปราศจากความโลภ

๒.กษมา ความอดกั้นหรือความอดทน มีความพากเพียร พยายาม อดทน  โดยถือเอาเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง

๓.ทมะ คือการระงับจิตใจ รู้จักข่มใจของตนด้วยความสำนึกในเมตตา  และมีสติอยู่เสมอไม่ปล่อยให้หวั่นไหวไปตามอารมณ์ได้ง่ายๆ

๔.อัสเตยะ คือ ไม่ลัก ไม่ขโมย

๕.เศาจะ คือความบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ

๖.อินทริยนิครหะ คือการปราบปรามอินทรีทั้ง ๑๐ ได้แก่ ประสาทความรู้สึกทางความรู้ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง กับประสาทความรู้สึกทางการกระทำ ได้แก่ มือ เท้า ทวารหนัก ทวารเบา และลำคอ

๗. ธี เหมือนกับธิติ ธีร หรือพุทธิ ได้แก่ปัญญา สติ ความคิด ความมั่นคง

๘.วิทยา คือ ความรู้ทางปรัชญาศาสตร์ คือรู้ลึกซึ้ง และมีความรู้เกี่ยวข้องกับชีวะ กับมายาและกับพรหม

๙. สตยะ คือ ความจริง ความเห็นอันสุจริต ความซื่อสัตย์ต่อกัน จนเป็นที่ไว้ วางใจกัน เชื่อใจกันได้

๑๐.อโกรธะ คือ ความไม่โกรธ มีความอดทน สงบเสงี่ยม รู้จักทำจิตใจให้สงบ



พระตรีมูรติ  เทพเจ้าฝ่ายชายที่สูงที่สุดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ตรีศักติ  เทพเจ้าฝ่ายหญิงในศาสนาพราหมณ์ฮินดู
Double click to edit
พราหมณ์-ฮินดู