รับผลิตและจำหน่ายศาลพระภูมิ หอพระ หอทวยเทพเทวดา
หน้าอยู่ที่ เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ โทร 099-165-7446
ศาลพระภูมิทรงไทย ดู " แบบ ขนาด สี และราคา"
ศาลเจ้าที่ทรงไทย ดู " แบบ ขนาด สี และราคา"
ศาลพระภูมิทรงไทย+ศาลเจ้าที่ พร้อมโต๊ะไหว้ ดู " แบบ ขนาด สี และราคา"
ศาลพระพรหมทรงไทย ดู " แบบ ขนาด สี และราคา"
ศาลพระพรหมทรงไทย+ศาลเจ้าที่ทรงไทย ดู " แบบ ขนาด สี และราคา"
ศาลทรงโดม ดู " แบบ ขนาด สี และราคา"
ศาลโมเดิร์น+ศาลเจ้าที่โมเดิร์น ดู " แบบ ขนาด สี และราคา"
ศาลโมเดิร์น ดู " แบบ ขนาด สี และราคา"
โต๊ะไหว้ทรงไทย ดู " แบบ ขนาด สี และราคา"
องค์เทพและเครื่องบริวารศาล ดู " แบบ ขนาด สี และราคา"
ฟรีค่าจัดส่ง ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล จัดส่งทั่วประเทศ
ทางร้านของเรา มีบริการครบวงจรเกี่ยวกับ ศาลพระภูมิ ศาลพระพรหม ครบวงจรเพื่อความสะดวกแก่ท่านเจ้าภาพ
1.จำหน่ายศาลพระภูมิคุณภาพดี ทาด้วยสีน้ำมันลูไซด์ที่มาจากการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูงในกระบวนการผลิตที่ไม่ผสมสารตะกั่วและสารปรอทมีคุณสมบัติเป็นสีเคลือบเงาสำเร็จคุณภาพเยี่ยมมีความคงทนให้ความเงางามและสีสันสวยงามยาวนานเป็นพิเศษเราจำหน่ายของดี เช็ดทำความสะอาง่ายด้วยน้ำ ดูแลรักษาง่าย สีของตัวสารผสมเกร็ดเงิน สวยเงางามเป็นเทคนิคเฉพาะทางเราเท่านนั้น มีศาลให้เลือก มากมายครับ ตั้งแต่ศาลเล็ก ถึง ศาลขนาดใหญ่มาก สามรถไปดูที่หน้าร้านได้นะครับ ถนนสุขุมวิท ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ (แยกไฟแดงโรงพยาบาลเมืองสมุทร) พร้อมให้คำปรึกษา หรือโทรมาคุยกันก่อนก่อได้ครับ สั่งสีได้ตามที่ต้องการ ฟรีบริการขนส่ง เลือกรูปแบบได้หลากหลาย สั่งทำพิเศษได้
2. บริการรับทำพิธีถอนศาล และ ตั้งศาล ทุกชนิดครับ
3. ทางเรามีชุดอุปกรณ์ตั้งศาล ให้เลือก ทุกชนิดมีสต๊อกไม่ขาด พร้อมสำรองตอลดและุให้เลือกมากมาย
4. บริการรับทำแท่นตั้งศาล ราคากันเอง
รับตั้งศาล และพิธีมงคล ทุกชนิด เช่น งานบวงสรวงใหว้ครู งานบวงสรวงเปิดหน้าดิดสร้างโรงงาน หรือ อาคาร งานบวงสรวงขอพรทั่วไป งานบวงสรวงเทวาภิเษก งานบวงสรวง เปิดร้านค้า งานบวงสรวงเปิดทิศเปิดทางเปิดบารมี งานละคร งานบวงสรวงเปิดร้านใหม่ งานบวงสรวงขอขมากรรม งานบวงสรวงตั้งศาล ทุกชนิด ศาลตายาย 4 เสา ศาลเจ้าที่เทพาหรือจอมปลวก 6 เสา ศาลพระภูมิชัยมงคล ศาลพระพรหม ศาลเทพ
แจกฟรีแบบจำลองวสยๆ ศาลพระภูมิ ศาลพระพรหม ศาลเจ้าที่ และแบบศาลจำลองอื่นๆ ในรูปแบบไฟล์ GLB
( คลิ๊กที่นี่เพื่อไปยังหน้าการดาร์วโหลด )
กฤษณะพราหมร์
ดูผลงานที่ผ่านมา
พราหมณ์ เป็นบทบาทและหน้าที่กระทำพิธีด้วยหลักการ และ ประกาศโองการ สวดบทพระเวท และ ทำการประกอบพิธี ทุกขั้นตอน ให้ถูกต้อง และ เหมาะสมกับการพิธี แต่ละพิธี ทำหน้าที่ สวดอ้อนวอน อัญเชิญ เทพดา และสิ่งศักดิ์ ที่เกี่ยวเนือง เชิญ เสด็จมารับ เครื่องบูชา และ ประธานพรให้สำเหร็จ ในแต่ละพิธี ด้วยมีขั้นตอนแตกต่างกัน ไป
ส่วนคุณสมบัติ ในการเป็นพราหมณ์นั้น มีหลากหลายข้อด้วยกับ แต่ที่สำคัญ และ แตกต่างจากอาจารย์ และหมอ ทั้วไป คือ องค์ความรู้ที่ได้รับถ่ายทอด และได้เล่าเรียนมา และ ต้องเข้าใจ ลงลึกถึง ปฐมเหตุ และแต่ละพิธี และตำนาน ซึ่งความรู้ตรงนี้ ผู้ที่ไม่ได้เรียนมาหรือ ได้รับการถ่ายถอดจะไม่เข้าใจ จึ่งทำพิธีตามตำราสืบ ๆ กันมา ซึ่งจะไม่เข้าใจเหตุผล จึงทำให้ หลายครั้งขึ้นตอน
จะผิดเพี้ยน กันเสีย และ ต้องได้รับการประสิทธิ์ จากพราหมณ์ ผู้มีประกาศิต ผู้เป็นผู้ใหญ่ และ มีความสักดิ์สิทธิ์ นั้นคือ ครู นี้เอง จึงจะสามารถที่จะล้างหรือแก้ อารรณ์ ต่าง ๆ ได้ มิฉะนั้น ผู้ที่เป็นเจ้าพิธี จะได้รับอาถรรถน์เสียเอง เพราะไม่มี องค์ครูพราหมณ์คุ้ม เพราะพราหมณ์ ไม่เหมือน พระมุณี พรือ พระมหาฤษณี ที่ได้ชาญ ต้องปฏิบัติ จนรู้และเห็นอดีต-ปัจจุบัน และ อนาคต เดินหน้าถอย หลังได้หลายสิบชาติ ซึ่งพระมุณีเหลานี้ ปัจจุบัน ก็ไม่มีประกอบพิธีกรรม ต้องบำเพ็ญอย่างเดียว ฉะนั้น หมอหรืออาจารย์ทั่วไป ก็จะอัญเชิญ พระพรหม หรือ พระมหาเทพได้ แต่หมอหรืออาจารย์ท่านเชิญ พระภูมิ เจ้าที่ หรือ บวงสรวงใหว้ครูได้เป็นปกติ
ผมกฤษณะ ได้ บวชพราหมณ์ เมืองไทย และได้ไปทำพิธี เปิดที่พารานาสี ที่วัดกาสีศิวะนาถ เป็นสถานที่ศักดิ์อันดับ 1 ของอินเดีย ที่พระศิวะ และ มหาเทพทุกพระองค์ สถิต และเป็นสถานศึกษา ทางศาสนาฮินดู ใกล้แม่น้ำ คงคา ผมเกิดที่เมืองไทย เป็นคนไทย 100% แต่เดินทางไป ประเทศอินเดีย เพื่อศึกษาพระธรรม และ ปฏิบัติธรรม และเดินทางไปศึกษา และ ได้ความรู้เกียวกับ พิธีกรรมและศาสนาพราหมณ์ ฮินดู รวมแล้วกว่า 9 ครั้ง และ เดินทางไปเนปาล ถึงแคว้นกาดมันดุ รวมถึงสังเวชนียสถาน เกิน 2 ครั้ง ครบ และได้ศึกษา และได้เรียนรู้จากครูพระ หลวงปู่ โปราณ วัดป่าแดนนาบุญ อยู่หลายปี พร้อมทั้งได้ตำรา ดูดวงโปราณ เล่มใหญ่ ของหลงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อีกทั้ง ตำราตั้งศาล พร้อมครูพระอีกหลายคณาจารย์ ปัจจุบันได้ทำหน้าที่ บวงสราง ตั้งศาล และ แก้ฮวงจุ้ย ปรับฮวงจุ้ย แนะนำ แก้กรรม ปรับธาตุ แนะเรื่องธุรกิจการงาน ผมบวงสรวงใหว้ครู ในวันสำคัญ ของประเทศทุกปี ปีละ 6 ครั้ง ตอบแทนพระคุณ
ภูมิ แปลว่า แผ่นดิน จะตั้งบนดาดฟ้า สำหรับผม ไม่ตั้งครับ บนดาดฟ้าตั้งได้แต่ศาลเทพ 6 เสา (อากาศเทวา) สำหรับที่อื่น ผมไม่แน่ใจครับ เคยได้ฟังมาบ้างว่า เขาเอาทองแดงผูกกับศาลพระภูมิ และลงมาสู่พื้นดิน อันนี้ก็เป็นไอเดียครับ แต่ไม่ถูกตามหลักพราหมณ์ ก็ต้องลองดูครับ ถ้าดีก็ดีนะครับ อาจมีองค์อื่นเข้าไปอยู่แทนก็ได้ แต่พระภูมิไม่ได้อยู่แน่นอนครับ
ศาลเจ้าที่จีน กับเจ้าที่ไทย เอาตามภูมิแล้ว เจ้าที่ไทย อยู่ภูมิที่ 7 ส่วนเจ้าที่จีนอยู่ภูมิที่ 5 นับจากล่างขึ้นบน เพราะนับตาม 16 ชั้นฟ้า นับจากบนลงล่าง 15 ชั้นดิน นับจากล่างขึ้นบน 14 กรุงบาดาล 21 แม่พระธรณี ท่านก็เป็นเจ้าของที่เหมือนกันครับ ตอนจุดธูปไหว้ก็ 7 ดอก แล้วปัก ซ้าย-ขวา อย่างละดอก ที่ตี่จู้ 5 ดอก ส่วนศาลเจ้าที่ที่ตั้งนอกบ้าน จุดธูป 7 ดอกทีเดียวเลยครับ เพราะรวมแล้ว ทั้งเจ้าที่และบริวาร ขึ้นอยู่กับพิธีกรรมนะครับ
พระภูมิหรือพระชัยมงคล ท่านเป็นเทวดา จุดธูป 9 ดอกครับ ตา-ยายเจ้าที่ จุดธูป 7 ดอกครับ
ไม่ต้องว่าคาถาครับ เราพูดเลยครับ ถ้าเรามี 2 ศาล ก็จุดรวบทีเดียวเลยครับ 16 ดอก แล้วบอกกล่าวเลยครับ ไม่ว่าจะถวายของหรือขอพร พอบอกกล่าวแล้วก็นำธูปไปปักไว้ที่กระถางพระภูมิ 9 ดอก กระถางตายาย 7 ดอก เป็นอันเสร็จครับ
ก็ต้องจุดธูปบอกกล่าวก่อนนะครับ ให้ท่านทราบก่อน และบอกว่าลูกหลานขอบูชา ขออนุญาตเช็ดถู ล้างขัดถูศาลให้เกิดเป็นมงคลนะเจ้าคะ แล้วขอพรเลยครับ พอธูปหมดดอกแล้ว ก็ทำความสะอาดได้เลยครับ ก็ขอขมาลาโทษ หากเกิดความผิดพลาดไป ประมาณนี้ครับ
ตั้งศาลเสร็จต้องไหว้แบบไหน ก็ไหว้วันที่เราสะดวกนะครับ ถ้ามีเวลา ก็เปลี่ยนน้ำได้ทุกวันก็ดีครับ ให้คนในบ้านทำให้ก็ได้ตอนเช้า หรือถ้าไม่สะดวก ก็ไหว้วันพระ หรือวันโกน แล้วแต่เราสะดวกครับrnถ้ามีโต๊ะไหว้ เป็นศาลพระภูมิให้ไหว้ ผลไม้ หรือาหารมัสริรัส และของหวาน พร้อมดอกไม้หรือบายศรีก็ได้แล้วแต่สะดวกครับ ถ้าเป็นศาลตายาย ก็ไหว้ของคาวได้ ทุกอย่าง ยกเว้นที่เป็นอิสลาม เราไม่ควรไหว้หมูครับ
ไม่ควรครับ เพราะศาลแต่ละหลังบางทีท่านเก็บสิ่งไม่ดีไว้ ในกรณีถ้ามีเหตุร้ายมา ท่านรับไว้ ถ้าเราถอนเอง อาจจะมีผลก็ได้ครับ เพราะต้องมีพิธีการขอขมากรรม และพิธีอีกหลายอย่างครับ ผลมันไม่เกิดตอนถอนหรอกครับ มันเกิดหลังจากนั้นตอนเราดวงตกนะครับ กันไว้ดีกว่าแก้
ถ้าเป็นศาลตี่จู้ ทางเจ้าบ้านตั้งเองได้ แต่ตั้งศาลพระภูมิตายาย เราตั้งเองไม่ได้ครับ เพราะถ้าเราตั้งเองแบบไม่ตามใจชอบ อะไรจะขึ้นศาลละครับ เพราะต้องอ่านโองการ เชิญเทพมาเป็นสักขีพยาน คัดสรร เชิญเทวดาที่เหมาะสม และเจ้าที่ ที่เหมาะสมขึ้นครับ ต้องตั้งบวงสรวง กล่าวโองการใหญ่นะครับ ไม่เหมาะสำหรับตั้งเองนะครับ
Image Description
ศาลพระภูมิ หมายถึง ศาลที่สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่สถิตของเทพารักษ์[1] พบได้ทั่วไปในประเทศไทย และยังพบว่ามีปรากฏในประเทศลาวและประเทศกัมพูชาอีกด้วย มีลักษณะเป็นบ้านหรือวิหารหลังเล็กตั้งอยู่บนเสาเดี่ยว หรือปะรำทำจากปูนหรือไม้เป็นต้น ตั้งไว้ในจุดที่เชื่อว่าเป็นมงคล ซึ่งมักจะอยู่ริมรั้วหรือมุมหนึ่งนอกบ้าน และบ้านหนึ่งก็อาจมีศาลพระภูมิมากกว่าหนึ่งหลัง
พระภูมิ นั้นหมายถึงวิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักดูแลรักษาสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคาร บ้านเรือน สำนักงาน ซึ่งคนไทยมีความเชื่อเรื่องภูมิวิญญาณพระจำบ้านมาอย่างช้านาน หากมีการปลูกบ้านก็ต้องมีการทำทำพิธีตั้งศาลอัญเชิญเทพมาสถิตย์ ณ ที่บ้าน เพื่อขอโชคลาภ และให้เกิดความสุข ไม่เจ็บไม่ไข้กับผู้อยู่อาศัย การตั้งศาลพระภูมินั้นจะต้องเรียกพราหมณ์มาดูฤกษ์ยาม และทิศทางในการตั้งศาล รวมถึงการเตรียมพิธีพร้อมเครื่องตั้งสังเวยด้วย ซึ่งพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีจะแจ้งเรื่องเครื่องเซ่นตามฤกษ์ที่ตั้งศาลนั่นเอง[2]
การบวงสรวงศาลพระภูมิเป็นการถวายพวงมาลัย ดอกไม้ และอาหาร ให้กับวิญญาณที่สถิตอยู่ในศาล ซึ่งมักจะทำก่อนพิธีกรรมของบ้านนั้นหรือเนื่องในวันสำคัญ
(กลับไปที่รายาการ)
พระชัยมงคล
พระภูมิ หรือ พระภูมิเจ้าที่ (บาลี: ภุมฺมเทว) เป็นเทพารักษ์ประจำพื้นที่และสถานที่ต่าง ๆ[1] ซึ่งไม่รวมรุกขเทวดาอื่น ๆ[2] หากสิงสถิตอยู่หรือเป็นเจ้าของหรือเป็นใหญ่ในที่ใด ก็จะเรียกเป็น เจ้าที่, เจ้าท่า, เจ้าป่า หรือเจ้าเขา เป็นต้น[2] หน้าที่ของพระภูมิ คือเพื่อปกปักรักษา ปกป้องดูแล บ้านเรือน เคหสถาน อาคาร สถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งเรือกสวนไร่นา[2] ตามความเชื่อของคนไทยในทุกภาคของประเทศมาตั้งแต่สมัยโบราณและยึดถือปฏิบัติบูชาสืบต่อกันมาช้านานจวบจนปัจจุบัน โดยมีศาลพระภูมิ ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อุทิศให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญและสักการะ หรือบุคคลสำคัญทางศาสนา
ความเชื่อของพระภูมิมาจากศาสนาผี อันเป็นประเพณีธรรมเนียมพื้นเมืองแบบวิญญาณนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนการเข้ามาของศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู เมื่อพระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูเข้ามาได้มีการผสมผสานในความเชื่อดั้งเดิม
เชื่อว่าพระภูมิมีอยู่ 9 องค์ ซึ่งแต่ละองค์มีบทบาทและหน้าที่รักษาสถานที่ต่างกันไป โดยประมุขของพระภูมิเจ้าที่นั้นคือเจ้ากรุงพาลี ซึ่งเป็นเทวดาในศาสนาฮินดู
(กลับไปที่รายาการ)
ร้านหนึ่งมงคลศาลพระภูมิ เรามีบริการจัดส่งถึงที่ รวดเร็ว ตรงเวลา ใกล้ไกลเรานำไปส่ง อาจมีค่าบริการเพิ่มเล็กน้อย ตามระยะทาง ที่นำส่ง แต่ลูกค้ามั่นใจได้เราไม่หวังผลกำไรจากการบริการนี้แน่นอน.
ตำนาน หรือประวัติศาลพระภูมิ มีหลายตำราแต่จะมีความคล้ายคลึงกัน คือ พระภูมิเป็นโอรสองค์โตในทั้งหมด 9 พระองค์ของท้าวทศราช มีพระนามที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือ “พระชัยมงคล”
พระชัยมงคลเป็นเทพที่ดูแล บ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ และพระโอรสอีก 8 พระองค์ก็จะดูและในส่วนอื่นๆ
เราจะคุ้นเคยกับพระภูมิมากที่สุดเพราะ เป็นเทพที่ดูแลบ้านเรือนและร้านค้า รายชื่อของพระโอรสในท้าวทศราชมีดังนี้
พระนามของพระโอรสทั้ง 9 และหน้าที่การคุ้มครอง
1.พระชัยมงคล ทรงปกครองดูแลบ้านเรือน ร้านค้าต่างๆ คนไทยจะคุ้นเคยกับองค์นี้ที่สุด
2.พระนครราช หน้าที่จะเกี่ยวกับการป้องกันเมืองคือ ปกปักรักษา ป้อมค่ายต่างๆ ประตูเมือง หอรบ บันไดต่างๆ
3.พระเทเพล จะเกี่ยวข้องกับอาชีพที่เกี่ยวกับปสุสัตว์ ท่านจะดูแล ฟาร์มต่างๆ ไร่ และคอกสัตว์
4.พระชัยสพ ดูแลปกป้องรักษา เสบียงคลัง ยุ้งฉาง
5.พระคนธรรพ์ เชื่อว่าเป็นผู้ปกป้องสถานบันเทิงรื่นเริงต่างๆ โรงพิธีวิวาห์ สถานที่แต่งงาน
6.พระธรรมโหรา มีหน้าที่ปกป้องดูแลโรงนา สวนต่างๆ
7.พระวัยทัต ท่านมีหน้าที่ปกปักปูชนียสถาน วัดวาอารามต่างๆ
8.พระธรรมิกราช ทรงปกครองรักษาดูแลกิจการต่างๆที่เกี่ยวกับพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งหมด
9.พระทาษธารา มีหน้าที่ปกครองดูแลห้วย หนอง คลอง บึง ลำธารทุกแห่ง
เรื่องราวเริ่มต้นของประวัติศาลพระภูมินั้นคือ แรกเริ่มท้าวทศราชเป็นกษัตริย์เจ้าเมืองพาลี ทรงเป็นกษัตริย์ที่ไม่อยู่ในทศพิศราชธรรม กดขี่ข่มเหงประชาชน ประชาชนได้รับความทุกยากไปทุกหย่อมหญ้า
ทั้งนี้ ท้าวทศราชยังสั่งสอนพระโอรศให้กระทำตัวหยาบช้าเช่นตนเอง ทั้งรีดไถ ข่มขู่ให้หาเครื่องสิ่งของเครื่องบรรณาการต่างๆมาให้แก่พวกตนเอง
ชาวบ้านต่างเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก ที่ต้องคอยหาแก้วแหวนเงินทองมาถวายแก่ท้าวทศราชและพระโอรส ซึ่งชาวบ้านก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ารับชะตากรรม
จนกระทั่งเรื่องนี้ร้อนไปถึงพระนารายณ์ที่ประทับอยู่ในพระตำหนักบนสรวงสวรรค์ชั้นไวกูณฐ์ พระนารายณ์ทรงได้รับเรื่องร้องทุกจากเทพบริวารของท่าน ท่านซึ่งเป็นผู้มีเมตตาเมื่อเห็นราษฎรของกรุงพาลีทุกยาก ก็ทรงอยากจะช่วยให้พ้นทุกจากเหตุการณ์นี้เสีย ครั้นจะใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่ลงทันพ่อลูกแห่งกรุงพาลีก็อาจจะง่ายเกินไป ท้าวทศราชและพระโอรสอาจจะไม่สำนึก
ท่านจึงทรงคิดอุบายขึ้นเพื่อเป็นการสั่งสอน ท้าวทศราชและพระโอรส ขึ้นโดยแปลงกายเป็นพราหมณ์ที่น่านับถือ แล้วทรงเสด็จมาที่กรุงพาลี
เมื่อท้าวทศราชเห็นพระนารายณ์ที่จำแลงกายลงมาเห็นว่าเป็นพราหมณ์ก็ต้อนรับขับสู้ เป็นอย่างดี เมื่อมีการสนทนาไปสักครู่หนึ่ง พราหมณ์ที่เป็นร่างจำแรงของพระนารายณ์ก็เอ่ยปากขอที่ดินสักผืนหนึ่ง ท้าวทศราชก็ถามกลับไปว่า ท่านต้องการสักเท่าไหร่หรือ
พระนารายในร่างของพราหมณ์ก็กล่าวตอบไปว่า ต้องการเพียง 3 ก้าวเท่านั้น
ท้าวทศราชได้ยินดังนั้นก็ทรงพระสรวลแล้วตอบตกลงทันที
ร่างจำแลงของพระนารายณ์เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงขอให้ท้าวทศราชหลังน้ำอุทกธาราเพื่อเป็นการยืนยันรับสัญญาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
พิธีหลั่งน้ำอุทกธารา
ท้าวทศราชจึงสั่งให้มหาดเล็กไปนำข้าวของเครื่องใช้รวมไปถึงพระเต้าเพื่อนำมาใช้ในพิธีหลั่งน้ำอุทกธาราในทันที
ในระหว่างทำพิธีจนถึงขั้นตอนที่ท้าวทศราชต้องเทพระเต้าให้น้ำออกมา ปรากฎว่าเทเท่าไหร่น้ำก็ไม่ออก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ พระศุกร์ผู้ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท้าวทศราชทราบว่า พราหมณ์ผู้นี้คือพระนารายณ์จำแลงมาเพื่อสั่งสอนท้าวทศราชและพระโอรส จึงทำการขัดขวางโดยแปรงร่างแล้วแอบเข้าไปในพระเต้าแล้วเอาตัวขวางไว้เพื่อไม่ให้น้ำออกมาจากพระเต้าได้
เมื่อพระนารายณ์เห็นว่าเทเท่าไหร่น้ำก็ไม่ออกจึงกระแสจิตเพ่งดูว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น จึงทราบว่าพระศุกร์ได้มาขัดขวางไว้ท่านจึงนำหญ้าคาแหย่เข้าไปในพระเต้า เผอิญว่าหญ้าคานั้นไปบาดเอาที่ตาของพระศุกร์ พระศุกร์จึงหนีไป จากนั้นน้ำก็ไหลออกมาได้โดยสะดวก พิธีก็ดำเนินจนเสร็จสิ้นไป
หลังจากพิธีเสร็จแล้วนั้น พราหมณ์ที่เป็นร่างแปลงของพระนารายณ์ก็สำแดงอิทธิ์ฤทธิ์กลับคืนสู่ร่างเดิม
พระองค์ทรงยืนด้วยร่างอันใหญ่โต ซึ่งร่างนี้สูงใหญ่กว่าปราสาทของท้าวทศราชเสียอีก จากนั้นพระนารายณ์ก็เดินเพียง 3 ก้าวก็ได้ระยะมากกว่าอาณาเขตของเมืองพาลีทั้งเมือง
เมื่อเห็นดังนั้น ท้าวทศราช พระมเหสี และพระโอรสทั้ง 9 ก็ตกตะลึงพร้อมกับก้มกราบขอขมาพระนารายณ์เพราะรู้ดีว่าต้องเสียเมืองให้พระนารายณ์
บทลงโทษของท้าวทศราช และพระโอรส
พระนารายณ์ต้องการสั่งสอน ท้าวทศราช และพระโอรสจึงไม่ยอมผ่อนปรนให้ ทำให้ท้าวทศราช พระมเหสี และพระโอรสทั้งหมด ต้องออกจากเมือง ด้วยที่เป็นวรรณะกษัติร์ไม่เคยลำบาก ท้าวทศราช และพระโอรสจึงมีชีวิตอย่างยากลำบากแบบที่ไม่เคยพบมาก่อน ด้วยเขตที่ท้าวทศราชและพระโอรส ออกไปนั้นเป็นเขตนอกป่าหิมพานที่แห้งแร้ง ทุรกันดาร หาผลไม้หรือน้ำก็ยากทำให้ต้องพบความลำบากอย่างแสนสาหัส ทั้งหมดจึงสำนึกได้แล้ว พากันไปเข้าเฝ้าขอประทานอภัยจากพระนารายณ์ด้วยความจริงใจและสัญญาว่าจะตั้งตนอยู่ในความดี
เมื่อพระนารายณ์เห็นเช่นนั้นก็ให้อภัยและให้ทั้งหมดกลับไปที่กรุงพลาลี แต่ไม่ใช่ในฐานะกษัตริย์ ให้อยู่ในฐานะผู้ปกปักรักษาดูและสถานที่ต่างๆโดยให้ทุกพระองค์ประทับอยู่บนศาลพระภูมิที่มีเสาเดียวปักอยู่บนพื้น
ซึ่งท้าวทศราชและพระโอรสก็น้อมรับอย่างโดยดี
สรุป
หน้าที่ของท้าวทศราชและพระโอรสที่ได้มอบหมายจากพระนารายณ์นั้นแตกต่างกันไปสามารถดูได้ในหัวข้อ
พระนามของพระโอรสทั้ง 9 และหน้าที่การคุ้มครอง ด้านบน
ซึ่งคนไทยจะคุ้นเคยกับพระชัยมงคลผู้ซึ่งเป็นผุ้ปกป้องดูแล บ้านเรือน ร้านค้า
ส่วนท้าวทศราชนั้นเป็นผู้ปกครอง พระภูมิทั้ง 9 อีกทีซึ่งก็จะเปรียบเหมือนว่า ท้าวทศราชได้แบ่งตนออกไปเป็น 9 องค์ และที่กล่าวมาคือประวัติศาลพระภูมิแบบย่อ หวังว่าท่านจะทราบและเข้าใจความเป็นมาของศาลพระภูมิขึ้นไม่มากก็น้อย
(กลับไปที่รายาการ)
ศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่
ภูมมัสมิง ทิสาภาเค สันติภูมมา มหิทธิกา เตปิตุมเห อนุรักขันตุ อาโรคเยนะ สุเขนะจะ ( 3 จบ )
สิโรเม ขอเดชะพระภูมิเทวารักษาที่รับพระพรจากเจ้ากรุงพาลี ให้วัฒนาถาวรสิ่งสุขแด่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้า (คำอธิษฐาน) มั่งมีเงินทองและทรัพย์พัสดุข้าวของเนืองนอง โสตถิ ชัยยะ ภะวันตุ เม
วันไหนควรไหว้
วันอังคาร, วันเสาร์ หรือ ฤกษ์สะดวกตามแต่ผู้อยู่
อย่างไรก็ตามเป็นความเชื่อส่วนบุคคล หากตั้งศาลพระภูมิแล้วไม่ควรละเลยเด็ดขาด
(กลับไปที่รายาการ)
จุดธูปไหว้พระภูมิกี่ดอก
ดูผลงานของกฤษณะพราหมณ์
ธูป 9 ดอก ใช้จุดไหว้ศาลพระภูมิ บูชาผู้มีพระคุณ รุกขเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา
(กลับไปที่รายาการ)
วิธีการบูชาศาลพระภูมิ
ดูผลงานที่ผ่านมากฤษณะพราหมณ์
พระคาถาขอขมาพระภูมิ
อิติสุขะโต อะระหังพุทโธ นะโม พุทธายะ ปฐวีคงคา พระภูมิเทวา ขะมามิหัง.
สวด นะโม 3 จบ แล้วสวดคาถาขอขมาพระภูมิ เพื่อขอทำความสะอาดศาลหรือเปลี่ยนสิ่งของที่ชำรุด แตกหัก
คาถาบูชาพระภูมิ
ยัสสามุสสะระเณนาปิ อันตะลิกเขปิปาณิโน ปะติฎฐะมะธิคัจฉันติ ภูมิยังวิยะ สัพพะทา สัพพูปัททะวะชาลัมหา ยักขะโจราทิสัมภะวา คะณะนาณะจะ มุตตานัง ปะริตตันตัม ภะณามะเหฯ
คาถาบูชาพระภูมิ (อีกบทหนึ่ง)
ยัสสานุภาวะโต ยักขา เนวะ ทัสเสนติ ภิงสะนัง ยัมหิ เจวานุยุญชันโต รัตตินทิวะ มะตันทิโต สุขัง สุปะติ สุตโต จะ ปาปัง กิญจิ นะ ปัสสะติ เอวะมาทิ คุณูปเปตัง ปะริตตันตัม ภะณามะเหฯ
ถ้าท่านมีศาลพระภูมิตั้งอยู่ประจำบ้านใช้คาถาบูชาทุกๆวัน จะเกิดสิริมงคลและบันดาลโชคลาภ หากบูชาให้ครบตามกำลังวันได้ก็จะเป็นการดียิ่งขึ้นไปอีก (หากมีเวลาน้อยสวดวันละ 1 จบ หรือครั้งละ 1 จบก็ได้) พร้อมดอกไม้หรือพวงมาลัยสดและธูปเทียนเป็นประจำก็จะทำให้บังเกิดผลดี มีความสุขความเจริญตลอดไป
วันอาทิตย์ สวด 6 จบ
วันจันทร์ สวด 15 จบ
วันอังคาร สวด 8 จบ
วันพุธ สวด 17 จบ
วันพฤหัสบดี สวด 19 จบ
วันศุกร์ สวด 21 จบ
วันเสาร์ สวด 10 จบ
การสักการบูชาพระภูมิ ไม่ควรใช้เครื่องสักการบูชาเดิมๆซ้ำกันตลอดไป ควรจัดหมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละเดือนตามกำหนด ถูกต้องตามประสงค์จะเสริมสิริมงคลเกิดลาภผลพ้นภัยพิบัติ มีแต่โชคลาภนานาประการ
เดือนอ้าย เดือนยี่
เจ้ากรุงพาลี กลายเพศเป็นนาคราช ของคาวทั้งหลายให้นำมาใช้สักการบูชา จะมีเกียรติยศและชื่อเสียงเลื่องลือไกล
เดือน 3 เดือน 4
เจ้ากรุงพาลี กลายเพศเป็นครุฑ ของสดของคาว กุ้งพล่า ปลายำ เป็นสิ่งสังเวยสักการบูชา บันดาลโชคลาภ โทษภัยจะหนีไกลห่าง มีแต่ความสุขสำราญ
เดือน 5 เดือน 6
เจ้ากรุงพาลี กลายเพศเป็นยักษ์ มีความดุร้าย ควรมีภักษาหารของสดของคาว กุ้งพล่า ปลายำ เนื้อหมู เนื้อวัวหรืออื่นๆที่เป็นของสดของคาว ก็จะเป็นที่พอใจของท่านใช้ผ้าแดงปูศาล
เดือน 7 เดือน 8
เจ้ากรุงพาลี กลายเพศเป็นพราหมณ์ร่างงาม งดเนื้อสัตว์และของคาวสารพัด ใช้ผ้าขาวปูศาล เครื่องสังเวยมังสวิรัติ
เดือน 9 เดือน 10
เจ้ากรุงพาลี กลายเพศเป็นราชสีห์ ชอบของสดของคาว เครื่องสังเวยคล้ายเดือน 5 เดือน 6 ใช้ผ้าเหลืองปูศาล จะเกิดลาภผลเหลือประมาณตามความต้องการทุกอย่าง
เดือน 11 เดือน 12
เจ้ากรุงพาลี กลายเพศเป็นช้าง ต้องมีหญ้าแพรก หญ้าปล้องอย่างละ 7 ใช้ผ้าดำปูศาล จะเกิดลาภผลสวัสดี ห้ามของคาว
(ดูเดือนจากปฏิทินของแต่ละปี)
(กลับไปที่รายาการ)
คำถวายเครื่องสังเวยพระภูมิ
ดูผลงานที่ผ่านมากฤษณะพราหมณ์และทีมงานจัดงาน
นะโม เม ชะยะมังคะลัง ภูมิเทวานัง สักการะวันทะนัง สูปะพะยัญชะนะสัมปันนัง โภชะนานัง สาลีนัง สะปะริวารัง อุทะกัง วะรัง อาคัจฉันตุ ปะริภุญชันตุ สัพพะทา หิตายะ สุขายะ สันติเทวา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ .
(กลับไปที่รายาการ)
อายันตุ โภนโต อิธะ ทานะสีละ เนกขัมมะปัญญา สะหะ
วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานะ เมตตุเปกขายุทธายะโว ทิสสา วินะติ อะเสสะโต.
(กลับไปที่รายาการ)
สิโรเม ขอเดชะพระภูมิเทวารักษาที่รับพระพรจากเจ้ากรุงพาลีมา ให้วัฒนาถาวรสิ่งสุข แด่(ระบุชื่อผู้ขอ) ให้มั่งมีเงินทองและทรัพย์พัสดุข้าวของเนื่องนอง ทั้งพร้อมพงศ์เผ่าบริวาร บุตรหลานเหลนลื้อบันลือ สาธุชนซร้องสรรเสริญ โสตถิ ชัยยะ ภะวันตุเม
ศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่ ที่ถอนแล้ว หรือที่ชำรุดแตกหัก เก่านาน รวมทั้งตุ๊กตาตัวแทนพระชัยมงคล ตา-ยาย คนรับใช้ นางรำ ช้างม้า มักจะนำไปไว้ที่วัด หรือทิ้งไว้ตามข้างทางแยก
(กลับไปที่รายาการ)
การไหว้ศาลพระภูมิ.......ใช้ธูป 9 ดอก เทียน ดอกไม้ พวงมาลัย เครื่องสังเวย
การไหว้ศาลเจ้าที่............ใช้ธูป 7 ดอก เทียน ดอกไม้ พวงมาลัย เครื่องเซ่นสังเวยอย่างน้อยปีละครั้ง
หมายเหตุ : การตั้งศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่ เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล ควรศึกษาเพิ่ม หรือต้องปรึกษาผู้รู้ พราหมณ์ ผู้ประกอบพิธี เพื่อให้ครอบครัวอยู่ดีมีสุข มีโชคลาภเงินทอง เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานอาชีพ หากคิดตั้งศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่ หรือมีแล้ว...การดูแลและสักการะด้วยธูปเทียน ดอกไม้ พวงมาลัยและเครื่องสังเวย อีกมุมมองหนึ่งบนความเชื่อและศรัทธาที่น่านำไปใช้
(กลับไปที่รายาการ)
ของไหว้ศาลพระภูมิ หรือเครื่องเซ่นไหว้ศาลพระภูมิ มี 3 ส่วนด้วยกัน ประกอบด้วย ของบูชา ของคาว และของหวาน ดังนี้
- ของบูชา ได้แก่ ดอกไม้ พวงมาลัย ข้าวปากหม้อ (ข้าวที่หุงใหม่ก่อนคนบริโภคเท่านั้น) แกง และแกงจืด
- ของคาวต่าง ๆ ได้แก่ หัวหมู เป็ด ไก่ กุ้ง ปู ปลามีหัว-หาง ทั้งนี้ สามารถใช้สำหรับตั้งไหว้เนื่องในเทศกาลต่าง ๆ ได้เช่นกัน เช่น วันเกิด วันปีใหม่ วันตรุษจีน รวมถึงการแก้บน เป็นต้น
- ของหวาน ได้แก่ ขนมสามทอง (ทองหยิบ, ทองหยอด, ฝอยทอง) ขนมเม็ดขนุน ขนมสีขาว-สีแดง กล้วย มะพร้าวน้ำหอมอ่อน นม เนย และผลไม้ต่าง ๆ ยกเว้นผลไม้ที่มีชื่อไม่เป็นมงคล เช่น มังคุด ละมุด พุทรา น้อยหน่า ระกำ สละ กระท้อน ทุเรียน ลางสาด เป็นต้น
วิธีการบูชาศาลพระภูมิ (พระชัยมงคล) ที่ถูกต้อง เริ่มจากให้จุดธูป 9 ดอก
(กลับไปที่รายาการ)
ของไหว้ศาลตายาย ประกอบด้วย ของบูชา ของคาว และของหวาน ดังนี้
- ของบูชาศาลตายายที่ตั้งได้ เช่น ดอกไม้ พวงมาลัย ข้าวปากหม้อ (ข้าวที่หุงใหม่ก่อนคนบริโภคเท่านั้น) แกง และแกงจืด
- ขนมหวาน เช่น ขนมสามทอง (ทองหยิบ, ทองหยอด, ฝอยทอง) ขนมเม็ดขนุน ขนมสีขาว-สีแดง กล้วย มะพร้าวน้ำหอมอ่อน นม เนย และผลไม้ต่าง ๆ ยกเว้นผลไม้ชื่อไม่เป็นมงคล เช่น มังคุด ละมุด พุทรา น้อยหน่า ระกำ สละ กระท้อน ทุเรียน ลางสาด เป็นต้น
- ของคาวต่าง ๆ มี หัวหมู เป็ด ไก่ กุ้ง ปู ปลามีหัว-หาง สามารถตั้งไหว้ได้เนื่องในเทศกาลต่าง ๆ เช่น วันเกิด ปีใหม่ ตรุษจีน หรือการแก้บน เป็นต้น
วิธีไหว้ศาลตายาย ให้จุดธูป 5 ดอก
(กลับไปที่รายาการ)
ศาลพระพรหมทรงไทย
ดูแคตตาล็อก ที่ร้านหนึ่งมงคลศาลพระภูมิ
ศาลพระพรหมทรงโดม
ดูแคตตาล็อก ที่ร้านหนึ่งมงคลศาลพระภูมิ
พระพรหม (สันสกฤต: ब्रह्मा พฺรหฺมา; อังกฤษ: Brahma; เตลูกู: బ్రహ్మ; )ในพระพุทธศาสนาคือท้าวมหาธาดาปชาบดีพรหม เป็นเทพเจ้าสูงสุด (ตรีมูรติ) ในคติของศาสนาฮินดู เป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ ความเมตตา เป็นพระผู้สร้างโลกและให้กำเนิดสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาล และให้กำเนิดคัมภีร์พระเวท
พระพรหมมีสี่พักตร์ พระศอสวมลูกประคำ พระหัตถ์แต่ละข้างถือดอกบัว, คัมภีร์ และหม้อน้ำ มีพาหนะเป็นหงส์หรือห่าน พระชายาคือพระสุรัสวดี เทพีแห่งศิลปะวิทยาการและความรอบรู้
ในคัมภีร์มัตสยาปุราณะเล่าว่า พระพรหมเดิมทีมีถึงห้าพักตร์ การที่มีห้าพักตร์เกิดจาก การที่พระพรหมให้ได้กำเนิดผู้หญิงนางหนึ่งชื่อ ศตรูป ขึ้นมา ความงามของศตรูปทำให้พระองค์หลงใหล เมื่อศตรูปนี้เคลื่อนไปทางใด พระพรหมก็จะหันพระพักตร์เพื่อมองตามไปด้วย แต่ว่ามีครั้งหนึ่งที่พระพรหมไปดูแคลนพระศิวะเข้า ทำให้พระศิวะพิโรธ และใช้ไฟบรรลัยกัลป์จากพระเนตรที่สามที่กลางพระนลาฏเผาพระพักตร์ที่อยู่ด้านบนเศียรของพระพรหม จนเหลือเพียงสี่พักตร์ แต่อีกความเชื่อหนึ่งเล่าว่า เพราะพักตร์ด้านบนของพระพรหมนั้นเจิดจรัสมาก ทำให้พวกสุระและอสุระทนไม่ได้ จึงขอร้องให้พระศิวะเป็นผู้ตัดให้
และยังเชื่อด้วยว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างบุคคลในวรรณะต่าง ๆ จากอวัยวะแต่ละส่วน ได้แก่ พราหมณ์เกิดจากพระโอษฐ์, กษัตริย์เกิดจากอก, แพศย์เกิดจากท้อง และศูทรเกิดจากเท้า
ตามมติของพราหมณาจารย์แต่โบราณกล่าวถึงตำราพรหมชาติ ว่าเป็นตำราที่มาจากพรหม ตำราพุทธลักษณะที่ฤษีแต่งไว้ก็มาจากพรหม เหตุที่รู้เห็นถึงพุทธลักษณะได้เพราะพรหมเป็นผู้มีอายุยืนและได้รู้เห็นเรื่องราวต่าง ๆ อยู่ตลอดกาลนาน เมื่อเวลาพราหมณ์หนุ่มเที่ยวสืบหาที่เรียนและทำความเคารพนบนอบในผู้เฒ่าผู้แก่อยู่นั้น พระพรหมเห็นแก่ความกรุณา พอทราบเรื่อง จึงได้แปลงเพศมาเป็นพราหมณ์ฤษีแล้วบอกวิชา ทั้งเรื่องมนต์ ไสยเวท ตำราพยากรณ์ ตำราดูลักษณะของหมอดู ต่าง ๆนั้นเองพราหมณ์จึงถือว่ามาจากพรหม และจึงได้นับถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์มีความงดงาม แม้คัมภีร์ปิงคละดาบส ตำราโตลกจือโหราศาสตร์จีน ถึงตลอดคัมภีร์โหราศาสตร์ในรุ่นหลัง ๆ ก็ได้กล่าวว่าได้มาแต่ฤษีและเทวะบันดาล อาจารย์ผู้ที่เรียนรู้ไว้ต่างกล่าวถึงสิ่งมงคลนี้ในทำนองเดียวกัน
ในคติของชาวไทยที่รับคติความเชื่อจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้ลิขิต ชะตาชีวิตของบุคคลต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่า "พรหมลิขิต" และผู้ใดที่บูชาพระพรหมอยู่เป็นนิจ พระองค์จะประทานพรให้สมหวัง เรียกว่า "พรพรหม" หรือ "พรหมพร"[1] และยังเป็นเทพประจำทิศเบื้องบนอีกด้วย
ด้วยเหตุดังนี้ พระพรหมจึงมีพระนามต่าง ๆ อาทิ "พรหมธาดา" หรือ "ประชาบดี" (ผู้สร้าง), "หงสรถ" หรือ "หงสวาหน" (ผู้มีหงส์เป็นพาหนะ), "จตุรพักตร์" (ผู้มีสี่หน้า), "ปรเมษฐ์" (ผู้ประเสริฐ) เป็นต้น[6] ส่วนในลิลิตโองการแช่งน้ำเรียกว่า "ขุนหงส์ทองเกล้าสี่"
โดยความหมายของคำว่า "พรหม" หมายถึง "ความเจริญ, ความกว้างขวาง, ความขยายตัว หรือความเบิกบาน" ดังนั้นตามคติและวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ทั้งในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพุทธศาสนาจึงมีคำว่า พรหม ประกอบคำศัพท์ เช่น "พรหมจรรย์", "พรหมบุตร" หรือ "พรหมวิหาร 4" เป็นต้น
ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์
ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์
ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ ความเชื่อและความศรัทธาที่อยู่คู่กับชาวไทยมาช้านาน เป็นสถานที่แห่งนี้เป็นที่โด่งดังและที่รู้จักทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เช่นชาวจีน ที่นิยมเดินทางมาสักการะ กราบไหว้ขอพร โชคลาภ ความสำเร็จ การกราบไหว้พระพรหม ด้วยพวงมาลัย 4พวง ธูป 12 ดอกเทียน 4เล่ม จะเตรียมไปเองหรือซื้อบริศาลท้าวมหาพรหม ก็ได้คะ มีจุดขายพร้อมคำแนะนำเราทั้งด้านในและด้านนอกเลยนะ ลักษณะของพระพรหม คือมี 4 หน้า และ 8 มือ ความหมายของการไหว้พระพรหม ทั้ง4 หน้า
ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์
สี่ทิศ ให้เดินวนซ้ายตามเข็มนาฬิกา หน้าที่หนึ่งขอพร เรื่องการเรียนการศึกษา การงาน อำนาจบารมี อยู่บริเวรทางเข้าหน้าสุด หน้าที่สอง ขอเรื่องที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สิน หน้าที่สาม ของเรื่อง โรคภัยไข้เจ็บ และการเดินทาง หน้าที่สี่ ขอเรื่องเงินทอง โชคลาภ การเสี่ยงโชค เราไปช่วงเย็นคนเยอะมากเชื่อกันว่าถ้าบนบานด้วยนางรำจะประสบผลสำเร็จบรรลุสมความปรารถนาในสิ่งที่ต้องการ ศาลท้าวมหาพรหม ตั่งอยู่หน้าโรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ บริเวรสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เดินทางได้หลายทาง รถไฟฟ้าบีทีเอส ลงสถานนีสยาม มาจาก ประตูน้ำ เดินมาเลื่อยๆจนถึงเซนทรัลเวิลด์ ข้ามแยกมาก็เจอคะ
พระพรหม เป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ ความเมตตา เป็นพระผู้สร้างโลกและให้กำเนิดสิ่งต่างๆ ในจักรวาล ความเชื่อที่มีมาแต่สมัยโบราณ ผู้ใดสักการะบูชาพระพรหม จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลาย
ผู้ใดสักการะบูชาพระพรหม จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลาย
คาถาบูชาพระพรหม
โอมปะระเมสะนะมัสการัม องการะนิสสะวะ รัง
พรหมเรสสะยัม ภูปัสสะวะวิษณุ ไวยะทานะโมโทติลูกปัม
ทะระมา ยิกยานัง ยะไวยะลา คะมุลัม
สะทา นันตะระ วิมุสะตินัน
นะมัตเต นะมัตเตร จะ อะการัง ตโถวาจะ
เอตามาตาระยัต ตะมัน ตะรามา
กัตถะนารัมลา จะสะระวะ ปะติตัม
โอม อหัม ปรัหมา อัสมิ
คาถาบูชาพระพรหม ผู้ใดสักการะและบูชาพระพรหม จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลาย
วิธีไหว้พระพรหม เริ่มจากการไหว้พระพรหมจากพักตร์แรก แล้วเวียนขวามือของเรา หรือพระหัตถ์ซ้ายของพระพรหม จนถึงพักตร์สุดท้าย
การขอพร แต่ละพักตร์จะแตกต่างกันดังนี้
พักตร์ที่ 1 ใช้ธูป 16 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด ขอพรเกี่ยวกับเรื่องงาน การเรียน การสอบแข่งขัน ขออำนาจบารมี ขอความก้าวหน้าในชีวิต และขอพรให้บิดา
พักตร์ที่ 2 ใช้ธูป 36 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด ขอพรเรื่องทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน บ้าน รถ หนี้สินที่มีคนยืมแล้วไม่คืน
พักตร์ที่ 3 ใช้ธูป 39 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด ขอพรเกี่ยวกับสุขภาพ ครอบครัว คู่ชีวิต และขอพรให้มารดา
พักตร์ที่ 4 ใช้ธูป 19 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด ขอพรขอโชคลาภ เงินทอง ขอเรื่องเกี่ยวกับการเสี่ยงดวง
ไหว้บูชาพระพรหม
1. กำยานและธูปใช้ได้ทุกกลิ่น
2. ผลไม้แนะนำเป็นกล้วย มะพร้าว สาลี่ ชมพู่
3. ดอกไม้กลิ่นหอมอ่อนๆ เช่น ดอกมะลิ ดอกบัว
และ ของต้องห้ามถวาย คือ เนื้อสัตว์ทุกชนิด
สามารถไหว้พระพรหม โดยขอพรเฉพาะเจาะจงตามเรื่องนั้นๆ ได้ในแต่ละพักตร์ แต่การไหว้ขอพรที่ถูกต้องคือ ไหว้ให้ถูกพักตร์ และควรไหว้ให้ครบทุกพักตร์ เพราะรับพรได้ครบทุกประการนั่นเอง.
ตั้งศาลพระพรหมไว้ที่แจ้ง เช่น หน้าบ้านหรือหน้าอาคารของหน่วยงาน สวนหย่อมของหมู่บ้าน หรือตามสี่แยก ซึ่งที่เห็นเด่นชัดจนหลายคนผ่านไปผ่านมาต้องยกมือไหว้คือ ศาลพระพรหม ที่สี่แยกราชประสงค์ นั่นเอง โดยมีความเชื่อว่า ถ้ายิ่งมีผู้มากราบไหว้บูชาพระพรหมมากเท่าไร จะยิ่งทำให้พระพรหมมีบารมีมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อมีบารมีมากขึ้น การขอพร ขอตรวจหวยก็จะยิ่งสัมฤทธิผลหรือสมดั่งใจหวังมากขึ้นด้วยเช่นกัน
เพื่อให้การตั้งศาลพระพรหมบังเกิดผลดี มีความเจริญรุ่งเรืองแก่เจ้าของบ้านหรือกิจการ มีหลักการในการตั้งศาล ดังนี้
ที่ตั้งศาลต้องเป็นบริเวณพื้นดิน โดยเป็นพื้นที่ยกสูงขึ้นมาเล็กน้อยประมาณ 1 คืบ หากไม่มีพื้นที่ที่เป็นพื้นดิน สามารถตั้งศาลบนชั้นดาดฟ้าได้ แต่ใด ๆ ก็ตามบริเวณนั้นจะต้องไม่มีเงาของตัวบ้านทอดลงมาทับ
ที่ตั้งของศาลควรอยู่ห่างจากบริเวณที่ตั้งของห้องน้ำ และไม่ควรหันหน้าศาลเข้าสู่บริเวณที่ตั้งของห้องน้ำ
ไม่ควรตั้งศาลให้หันหน้าตรงกับประตูด้านหน้าบ้าน และตั้งศาลให้ห่างจากรั้วหรือกำแพงอย่างน้อย 1 เมตร รวมถึงไม่ควรตั้งศาลให้อยู่ใกล้กับตัวอาคารมากนัก
ความสูงของศาล ควรสูงเหนือระดับสายตาขึ้นไปเล็กน้อย
ควรเลือกใช้เทวาลัยที่เปิดออกทั้ง 4 ทิศ
ที่สำคัญ ทำเลและทิศในการตั้งศาลต้องเลือกให้เหมาะสม โดยการเชิญพราหมณ์มาดูสถานที่และฤกษ์ยามในการตั้งศาลก่อน
เมื่อกำหนดพื้นที่ในการตั้งศาลพระพรหมเรียบร้อย ก็มาถึงขั้นตอนการตั้งศาล ดังนี้
เตรียมอุปกรณ์ตั้งศาล เช่น องค์พระพรหม ตุ๊กตาชาย-หญิง ตุ๊กตาช้าง-ม้า กระถางธูป แจกัน เชิงเทียน ธูป เทียน ด้ายสายสิญจน์ และอื่น ๆ รวมถึงเครื่องสังเวย เช่น บายศรี ผลไม้มงคล ขนมคาว-หวาน หมาก-พลู พวงมาลัยดาวเรือง และดอกไม้สด ให้พร้อม
เมื่อถึงฤกษ์ตามวันที่กำหนด พราหมณ์ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ โดยจะวางสิ่งของมงคล เช่น แผ่นเงิน-ทอง-นาค อิฐเงิน-ทอง-นาค พลอยนพเก้า ข้าวตอก ถั่ว งา ดอกไม้ 9 สี และไม้มงคล 9 ชนิด ไว้ในฐานชิ้นล่างสุดของศาลพระพรหม
พราหมณ์สวดมนต์ทำพิธี และอัญเชิญองค์พระพรหมขึ้นสู่ศาล
เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว เชิญเจ้าของสถานที่ไหว้และแจกจ่ายอาหารให้กับบริวาร
การไหว้พระพรหมนั้นสามารถไหว้ได้ทุกวันตามความเหมาะสมและความสะดวกของผู้ไหว้ แต่อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อนับตั้งแต่อดีตว่าไม่นิยมไหว้พระพรหมในวันพระ เนื่องจากพระพรหมนั้นจะเสด็จไปปฏิบัติธรรม ทำให้ไม่ได้ยินคำขอของผู้ไหว้นั่นเอง โดยใช้ของไหว้ดังนี้
ดอกไม้ : เช่น ดอกมะลิ ดาวเรือง ดอกบัว ดอกโมก หรือดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
กำยานและธูป : ใช้จุดได้ทุกกลิ่น
อาหาร : ควรเป็นขนมหวานรสอ่อน เน้นธรรมชาติให้มากที่สุด และห้ามถวายเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด
ผลไม้ : ถวายได้ทุกชนิด แนะนำมะพร้าว สาลี่ ชมพู่ กล้วย เพราะมีความหมายที่ดี ถือเป็นผลไม้มงคลและช่วยเสริมดวงในด้านต่าง ๆ ได้
การบูชาไหว้ศาลพระพรหม ซึ่งเป็นมหาเทพในศาสนาพราหมณ์ จำเป็นต้องสวดบูชาพระพิฆเนศก่อนทุกครั้ง โดยกล่าวคาถาบูชาพระพิฆเนศ “โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา” เพื่อเป็นการขอความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ให้มีโชค มีลาภ และทรัพย์สินเงินทอง สมหวังดังปรารถนา จากนั้นให้กล่าวคาถาบูชาพระพรหม ดังนี้
คาถาบูชาพระพรหม (ทางพราหมณ์ แบบย่อ)
“โอม อหัม ปรัหมา อัสมิ”
คาถาบูชาพระพรหม (ทางพราหมณ์ แบบเต็ม)
“โอมปะระเมสะนะมัสการัม องการะนิสสะวะ รัง พรหมเรสสะยัม
ภูปัสสะวะวิษณุ ไวยะทานะโมโทติลูกปัมทะระมา ยิกยานัง
ยะไวยะลา คะมุลัม สะทา นันตะระ วิมุสะตินัน นะมัตเต
นะมัตเตร จะ อะการัง ตโถวาจะ เอตามาตาระยัต ตะมัน ตะรามา
กัตถะนารัมลา จะสะระวะ ปะติตัม สัมโภพะกลโล ทิวะทิยัม มะตัมยะ”
คาถาบูชาพระพรหม (ทางพุทธ)
ตั้งนะโม 3 จบ พร้อมกล่าวคำบูชาว่า
“โอม พรหมมะเณ ยะนะมะ
โองการพินทุ นาถังอุปปันนาถัง
สุอาคะโต ปัญจะปะทุมมัง
พรหมมาสะหัมปะตินามัง ทิสสะวา
นะโมพุทธายะ วันทานัง”
ในการไหว้เทวรูปพระพรหม หากไม่แน่ใจว่าเป็นทางพราหมณ์หรือทางพุทธ สามารถสวดคาถาบูชาบทใดบทหนึ่งก็ได้ หรือจะสวดทั้ง 2 แบบเลยก็ได้เช่นกัน
ดังที่กล่าวไปแล้วว่าพระพรหมนั้นมี 4 พักตร์ หันไปทั้ง 4 ทิศ ในการไหว้จึงควรไหว้ให้ครบทั้ง 4 ทิศ โดยเริ่มจากพักตร์แรก แล้วเวียนขวามือของเรา (หรือพระหัตถ์ซ้ายของพระพรหม) จนถึงพักตร์สุดท้าย ให้ครบทั้ง 4 พักตร์ โดยการขอพรและการเตรียมของไหว้พระพรหมแต่ละพักตร์จะแตกต่างกัน ดังนี้
พักตร์ที่ 1 ทางด้านทิศเหนือ : หรือสังเกตง่าย ๆ คือเป็นพักตร์ที่หันออกมาด้านนอก สำหรับบูชาขอพรเรื่องการงาน การเรียน การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง อำนาจบารมี และเรื่องที่เกี่ยวกับพ่อ โดยมีของไหว้เป็นธูป 16 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก และน้ำ 1 ขวด
พักตร์ที่ 2 ทางด้านทิศตะวันออก : บูชาขอพรเรื่องทรัพย์สินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ ที่ดิน รวมถึงเงินหรือหนี้สินที่คนยืมไปแล้วไม่คืนด้วย โดยมีของไหว้เป็นธูป 36 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก และน้ำ 1 ขวด
พักตร์ที่ 3 ทางด้านทิศใต้ : บูชาขอพรเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวและสุขภาพ โดยมีของไหว้เป็นธูป 39 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก และน้ำ 1 ขวด
พักตร์ที่ 4 ทางด้านทิศตะวันตก : บูชาขอพรเรื่องเงินทอง โชคลาภ การเสี่ยงดวง และการขอลูก โดยมีของไหว้เป็นธูป 19 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก และน้ำ 1 ขวด
เคล็ดลับวิธีขอพร : เราสามารถขอพรเรื่องที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละพักตร์ได้ หรือถ้าจำไม่ได้ว่าพักตร์ใดควรขอเรื่องใด จะขอเรื่องเดียวกันทั้ง 4 พักตร์เลยก็ได้ ส่วนของไหว้จะใช้เป็นธูป 9 ดอก และเทียน 2 เล่ม จุดครั้งเดียวเลยก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ การไหว้ขอพรที่ถูกต้องคือ ไหว้ให้ถูกพักตร์ และควรไหว้ให้ครบทุกพักตร์
การไหว้พระพรหมนั้นถือเป็นความเชื่อและศรัทธาของคนไทยที่สืบทอดมายาวนาน ด้วยเชื่อกันว่าพระพรหมจะบันดาลให้สิ่งที่หวังเป็นจริงได้ ซึ่งการกราบไหว้ขอพระศาลพระพรหมมีกรรมวิธีที่แตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละศาสนา เราสามารถนำมาปรับใช้และเลือกปฏิบัติได้ตามสะดวก หรือเพียงแค่สงบจิตและระลึกถึงพระพรหม เพียงเท่านั้นก็ถือว่าเป็นการไหว้พระพรหมแล้วค่ะ
พระคเณศ (สันสกฤต: गणेश ทมิฬ: பிள்ளையார் อังกฤษ: Ganesha) ชาวไทยนิยมเรียกว่า พระพิฆเนศ (विघ्नेश) พระนามอื่นที่พบ เช่น พระพิฆเณศวร พระพิฆเณศวร์ หรือ คณปติ เป็นเทวดาในศาสนาฮินดูที่ได้รับการเคารพบูชาอย่างแพร่หลายที่สุดพระองค์หนึ่ง พบรูปแพร่หลายทั้งในประเทศอินเดีย, เนปาล, ศรีลังกา, ฟิจิ, ไทย, บาหลี, บังคลาเทศ นิกายในศาสนาฮินดูทุกนิกายล้วนเคารพบูชาพระคเณศ ไม่ได้จำกัดเฉพาะในคาณปัตยะเท่านั้น และการบูชาพระคเณศยังพบในพุทธและไชนะอีกด้วย
พระลักษณะที่โดดเด่นจากเทพองค์อื่น ๆ คือพระเศียรเป็นช้าง เป็นที่เคารพกันโดยทั่วไปในฐานะของเทพเจ้าผู้ขจัดอุปสรรค, องค์อุปถัมภ์แห่งศิลปวิทยาการ วิทยาศาสตร์ และศาสตร์ทั้งปวง และทรงเป็นเทพเจ้าแห่งความฉลาดเฉลียวและปัญญา ในฐานะที่พระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งการเริ่มต้น ในบทสวดบูชาต่าง ๆ ก่อนเริ่มพิธีการหรือกิจกรรมใด ๆ ก็จะเปล่งพระนามพระองค์ก่อนเสมอ ๆ
สันนิษฐานกันว่าพระคเณศน่าจะปรากฏขึ้นเป็นเทพเจ้าครั้งแรกในราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 ส่วนหลักฐานยืนยันว่ามีการบูชากันย้อนกลับไปเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 4–5 สมัยอาณาจักรคุปตะ ถึงแม้พระลักษณะจะพัฒนามาจากเทพเจ้าในพระเวทและยุคก่อนพระเวท[13] เทพปกรณัมฮินดูระบุว่าพระคเณศทรงเป็นพระบุตรของพระศิวะและพระปารวตี พระองค์พบบูชากันอย่างแพร่หลายในทุกนิกายและวัฒนธรรมท้องถิ่นของศาสนาฮินดู พระคเณศทรงเป็นเทพเจ้าสูงสุดในนิกายคาณปัตยะ คัมภีร์หลักของพระคเณศเช่น คเณศปุราณะ, มุทคลปุราณะ และ คณปติอรรถวศีรษะ นอกจากนี้ยังมีสารานุกรมเชิงปุราณะอีกสองเล่มที่กล่าวเกี่ยวกับพระคเณศ คือ พรหมปุราณะ และ พรหมันทปุราณะ
นอกจากนั้นพระพิฆเนศ ยังเป็นที่เคารพนับถือของ ศาสตร์ในด้านศิลปิน และศิลปะต่างๆ สังเกตได้จากในพิธีต่างๆจะมีการอัญเชิญพระพิฆเนศ มาร่วมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่คอยประสิทธิ์ประศาสตร์พรให้กับผู้ร่วมพิธีอีกด้วย
คัมภีร์ปราณะได้บันทึกไว้ช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ 1 กล่าวถึงการกำเนิดพระพิฆเนศในฐานะเทพ และโอรสของพระแม่อุมาเทวีกับพระศิวะเทพ โดยแต่ละตำนานได้กล่าวไว้แตกต่างกัน ดังนี้
ตำนานที่หนึ่ง ปราบอสูรและรากษส
เมื่ออสูรและรากษส ทำการบวงสรวงพระศิวะเพื่อขอพรต่อพระองค์จนได้รับพร สมประสงค์ ต่อเมื่อได้ใจกลับรุกรานเหล่าเทวดาให้ได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว จนความถึงพระอินทร์จึงจำต้องพาเหล่าเทวดาทั่งหลายไปขอเข้าเฝ้าพระศิวะเจ้า เพื่อขอให้ทรงหนหนทางหรือผู้ที่จะปราบเหล่าอสูรและรากษสใจพาลเหล่านั้น เมื่อได้ฟังคำร้องทุกข์จากเหล่าเทวดาแล้ว พระศิวะจึงทรงแบ่งกายเป็นบุรุษรูปงามซึ่งจะไปถือกำเนิดในครรภ์ของพระอุมาเทวี เมื่อถึงเวลากำเนิดแล้ว พระองค์จึงทรงให้พระนามว่าพระวิฆเนศวรเพื่อทำหน้าที่ปราบอสูรและรากษสทั้งหลาย เมื่อเสร็จสิ้นการปราบอสูรแล้ว พระองค์จึงทรงมอบหมายให้พระวิฆเนศวรทรงเป็นผู้ขัดขวาง และป้องกันเหล่าผู้มีจิตใจพาลต่างๆ ที่จะมาขอพรจากพระศิวะเพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิด รวมทึ้งเป็นผู้คัดสรรเหล่าเทวดาและมนุษย์ผู้ทำกรรมดีและช่วยเหลือให้ค้นพบกับความสำเร็จ จากการขอพรต่อพระศิวะต่อไป
ตำนานที่สอง พระปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) ปั้นเหงื่อไหลให้เป็นพระบุตร
เมื่อคราวที่พระปารวตีสรงน้ำอยู่ในอุทยาน พระองค์ทรงนำเหงื่อไคลของพระองค์มาปั้นเป็นหุ่นเทวบุตรรูปงาม และทรงใช้เวทย์มนต์เพื่อให้หุ่นนั้นมีชีวิตขึ้นมา จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้เทวบุตรออกไปเฝ้ายังด้านหน้าประตูทางเข้าอุทยาน โดยได้รับสั่งว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาโดยเด็ดขาด เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดทุกครั้งที่พระแม่อุมาทรงสรงน้ำ ณ อุทยานแห่งนี้ จนกระทั่งเมื่อถึงวันกำหนดเสด็จกลับของพระศิวะ และเมื่อทั้งสองพระองค์พบกันในคราแรกต่างก็จะเข้าไปในอุทยาน อีกฝ่ายก็ปกป้องมิให้ผู้ใดย่างกายเข้าในอุทยานได้ด้วยเทวบุตรทรงได้รับคำสั่งของพระอุมา ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงละเมิดเข้าไปยังสถานที่สรงน้ำแห่งนี้ เมื่อเป็นดั่งนั้นพระศิวะจึงทรงสั่งให้บริวารเข้าต่อสู้และได้สังหารเทวบุตร (แต่ในบางคัมภีร์ก็ว่าพระศิวะทรงใช้ตรีศูลตัดเศียรเทวบุตรนั้น บ้างก็ว่าพระวิษณุทรงใช้จักรตัดเศียร)
เมื่อพระปารวตีทรงพบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงโกรธและโมโหพระสวามียิ่ง จนถึงกับทำศึกใหญ่ระหว่างทั้งสองพระองค์ ร้อนถึงพระฤาษีนารอด (นารท) ต้องออกรับหน้าเจรจาศึกในครานี้ โดยพระปราวตีได้กล่าวให้พระศิวะผู้สวามีต้องหาหนทางให้เทวบุตรฟื้นชีวิตจึงจะยอมสงบศึกให้
พระศิวะจึงทรงมีคำสั่งให้เทวดาผู้เป็นบริวารเดินทางไปทิศเหนือ และให้ตัดศรีษะของสิ่งมีชีวิตแรกที่พบเพื่อนำมาต่อให้กับเทวบุตรผู้เป็นโอรส ไม่นานนักเทวดาก็เดินทางกลับมาพร้อมกับนำเศียรช้าง (มีงาเดียว) เพื่อมาต่อให้พระโอรส ซึ่งต่อมาจึงทรงตั้งพระนามใหม่ คือ คชานนะ (มีหน้าเป็นช้าง) และเอกทันต (ผู้มีงาเดียว) เมื่อได้ชุบชีวิตฟื้นแล้วพระปราวตีจึงทรงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ทั้งสองพระองค์ได้ฟังว่าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระบิดาและพระโอรส ซึ่งฝ่ายโอรสได้ฟังดังนั้นถึงกลับหมอบกราบขออภัยโทษเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตน พระศิวะทรงพอพระทัยยิ่งนัก ถึงกับประทานพรให้พระโอรสให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือเหล่าภูตผีทั้งปวง และทรงแต่งตั้งให้เป็น คณปติ ผู้เป็นใหญ่ในที่สุด
ตำนานที่สาม ขวางคนชั่วที่ต้องการล้างบาป ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร
ตำนานกล่าวถึงว่าพระปารวตีได้ทรงนำน้ำที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมเหงื่อไคล ปั้นเป็นเทวบุตรรูปเป็นมนุษย์แต่มีเศียรเป็นช้าง จากนั้นจึงนำน้ำจากพระคงคามาประพรมเพื่อให้มีชีวิตขึ้นมา โดยมีพระประสงค์ให้ไปขัดขวางคนชั่วที่จะไปบูชาศิวลึงค์ เพราะหวังที่จะล้างบาปตนเอง ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร เพื่อไม่ให้ตนตกขุมนรก
จากเรื่องเล่านี้ ทำให้ชาวฮินดูทั้งหลายนิยมนำรูปปั้นพระพิฆเนศมาจุ่มน้ำ ณ วัดคเนศจาตุรถี หรือบางครั้งก็จะนำเทวรูปเล็กๆ นำไปทิ้งตามแม่น้ำคงคาด้วยความเชื่อที่ว่า น้ำจากแม่น้ำคงคาจะทำให้พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง
ตำนานที่สี่ พระกฤษณะอวตาร
เล่าไว้ว่าเมื่อครั้งพระปารวตียังไม่มีโอรส พระศิวะเทพผู้สวามีจึงให้คำแนะนำว่าให้จัดทำพิธีปันยากพรต (การบูชาพระวิษณุเทพในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือนมาฆะ) โดยใช้เวลาในการทำพิธีตลอด 1 ปี ซึ่งหากทำโดยตลอดจนครบก็จะประสบความสำเร็จในการขอบุตร ซึ่งพระกฤษณะจะอวตารมาจุติ ต่อเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคำของพระศิวะเทพแล้ว เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายก็ได้มาร่วมอวยพรกับการถือกำเนิดของพระโอรสพระองค์นี้ รวมถึงเทพศนิ (พระเสาร์) ก็เข้ามาร่วมพิธีอวยพรด้วย ซึ่งพระศนิพระองค์นี้มีเรื่องกล่าวไว้ว่า เมื่อพระองค์ทรงเพ่งมองสิ่งใดมักจะเกิดไฟเผาผลาญสิ่งนั้นๆ จนหมดสิ้นไป
ในคราวเข้าร่วมพิธีอวยพร พระศนิก็ทรงได้ชื่นชมพระโอรส จนเผลอตนเพ่งมองพระโอรสจนเศียรของพระกุมารหลุดกระเด็นไปยังโคโลก (ที่ประทับพระกฤษณะ) พระศิวะจึงมีบัญชาให้พระวิษณุออกตามหาเศียรพระโอรส แต่ก็ไม่ทรงพบต่อมาเมื่อผ่านแม่น้ำบุษปภัทร พระวิษณุทรงแลเห็นช้างนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ จึงตัดเศียรช้างนั้นนำกลับมาต่อให้พระโอรส
ตำนานที่ห้า พระศิวะ-พระปารวตีแปลงเป็นช้าง
คราหนึ่งพระศิวะและพระปารวตีได้เสด็จไปยังภูเขาหิมาลัย ได้แลเห็นช้างกำลังสมสู่กัน จึงบังเกิดความใคร่ จากนั้นจึงทรงแปลงกายเป็นช้างและสมสู่กันจนเกิดพระโอรส นามพระพิฆเนศ
ตำนานที่หก พระวิษณุเทพ เปล่งวาจากสิทธิ์ในพิธีโสกันต์
จากที่พระศิวะและพระปารวตีทรงจัดพิธีโสกันต์ให้กับพระโอรสในพิธีฤกษ์คือ วันอังคารจึงได้แจ้งเชิญเทพทั้งหลายทั้งมวลมาเป็นสักขีพยาน แต่คงยังขาดเพียงองค์วิษณุเทพที่ทรงอยู่ระหว่างบรรทม จนเมื่อใกล้เวลาอันเป็นมงคล พระศิวะเทพจึงทรงให้พระอินทร์นำสังข์ไปเป่าเพื่อปลุกให้พระวิษณุเทพตื่นจากบรรทม เมื่อพระวิษณุเทพทรงตืนจากบรรทมด้วยเสียงดังของสังข์ จึงทำให้พระวิษณุเทพพลั่งโอษฐ์ออกไปว่า "ไอ้ลูกหัวขาดจะนอนให้สบายก็ไม่ได้" เพียงวาจานี้ถึงกลับทำให้เศียรของพระโอรสหายไปในทันที เหล่าเทพทั้งหลายเมื่อเห็นดังนี้แล้วจึงปรึกษากันว่า วันอังคารถือเป็นฤกษ์ไม่ดีขอห้ามทำพิธีการมงคลใดๆ ทั้งมวล กลับถึงเรื่อง พระเศียรของโอรสพระศิวะเทพจึงมีบัญชาให้พระวิษณุกรรมไปตัดหัวมนุษย์ที่เพิ่งสิ้นชีวิต ณ ทิศตะวันตก แล้วนำกลับมาโดยเร็ว แต่ในวันนั้นหาได้มีมนุษย์ผู้ใดสิ้นอายุขัยลง พระวิษณุกรรมแลเห็นเพียงช้างพลายงาเดียวเท่านั้นที่สิ้นชีวิตลง จึงตัดหัวช้างพลายตัวนั้นกลับมาถวายพระศิวะเทพ
ในช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธกำลังเติบโตในอินเดีย มีเรื่องเล่ากล่าวในตอนนี้ว่า เมื่อเทวดานำหัวช้างมาต่อแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้พระโอรสฟื้นชีวิตได้ พระศิวะเทพจึงต้องให้พระวิษณุเทพไปทูลเชิญเสด็จพระศิริมานนท์อรหันต์ ให้โปรดเสด็จมาสวดพระคาถาชินบัญชรจนสำเร็จทำให้พระโอรสฟื้นชีวิต
หรือบ้างก็กล่าวว่าในพิธีโสกัณต์ พระราหูได้เตือนพระศิวะแล้วว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จึงควรทูลเชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าร่วมพิธีนี้ด้วย แต่พระศิวะเทพก็หารับฟังไม่ บ้างก็ว่าพระอังคารไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีจึงโกรธแค้น และได้ลอบตัดเศียรพระโอรสไปโยนทิ้งทะเล
ไหว้พระพิฆเนศช่วยเรื่องอะไร
ตามความเชื่อแล้ว พระพิฆเนศถือได้ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งจักรวาล ดังนั้นการสักการะบูชาพระพิฆเนศ และการอธิษฐานขอพรใด ๆ ที่ไม่เกินวาสนาบารมี ช่วยให้สำเร็จได้ทุกสิ่งอย่าง องค์พระพิฆเนศย่อมประทานพรให้สมปรารถนาเสมอ ไม่ว่าจะช่วยเรื่องการเรียน การงาน การเงิน และความรัก อีกทั้งยังช่วยปัดเป่าอุปสรรค แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตลอดจนช่วยให้ทุกอย่างประสบผลสำเร็จ
การสักการะบูชาพระพิฆเนศหลัก ๆ สามารถบูชาได้ทุกวัน สามารถบูชาได้ทุกคน และสามารถขอพรได้อย่างไม่จำกัด แต่ถ้าอยากจะบูชาอย่างถูกต้องตามความเชื่อ มีหลักการที่ว่าควรเริ่มต้นบูชาพระพิฆเนศใน “วันอังคาร” และ “วันพฤหัสบดี” เพื่อถวายตัวเป็นผู้ศรัทธาหรือลูกศิษย์ของพระพิฆเนศ จากนั้นวันต่อ ๆ ไป ให้สักการะตามปกติวันไหนก็ได้ เพราะถือว่าเป็นฤกษ์มงคลทั้งนั้น ไม่มีวันไหนที่ไม่เหมาะแก่การบูชาพระพิฆเนศเลย
สำหรับของไหว้พระพิฆเนศ ห้ามใช้เนื้อสัตว์ทุกชนิด *สามารถใช้ขนมที่มีส่วนผสมของไข่ได้บ้าง แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง โดยให้ถวายเป็น
ผลไม้ : อ้อย
เครื่องดื่ม : น้ำอ้อยและนมวัว
ขนมไทยและขนมอินเดีย : ขนมโมทกะ, ขนมต้มแดง, ขนมต้มขาว และขนมหวานลาดูป
ของไหว้อื่น ๆ : ข้าวสาร, เกลือ, พืช, ผัก, งา, สมุนไพร, ธัญพืช และเครื่องเทศทุกชนิด
ถวายเครื่องบูชาสักการะ โดยนำของทั้งหมดวางไว้หน้าเทวรูปพระพิฆเณศ วางดอกไม้ไหว้หน้าเทวรูป หรือถ้าร้อยเป็นพวงให้นำไปคล้องที่พระกรของเทวรูป จุดเทียน ธูปหอม กำยาน ฯลฯ ต่อหน้าเทวรูป ทำจิตใจให้สงบแล้ว ตั้งนะโม 3 จบ และเริ่มกล่าวบทสวดพระพิฆเนศ พอท่องบทสวดมนต์เสร็จแล้ว ให้อธิษฐานขอพรเป็นภาษาไทย กล่าวคำว่า “โอม ศานติ” (3 ครั้ง) ขอความสันติและสงบสุข เป็นอันเสร็จพิธี
คาถาบูชาพระพิฆเนศแบบสั้น
โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา (3, 5, 7, 9 จบ *ตามสะดวก)
คาถาบูชาพระพิฆเนศของไทย
โอม พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
ทุติยัมปิ พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
ตะติยัมปิ พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
คาถาบูชาพระพิฆเนศเพื่อความสำเร็จ
โอม ศรีคะเนศายะนะมะ
ชะยะคะเณศะ ชะยะคะเณศะ ชายะคะเณศะ
เทวา มาตา ชากี ปะระ วะตี ปิตามะหา เทวา ละฑุวัน
กา โกคะ ละเค สันตะ กะเร เสวา เอก ทันตะ
ทะยาวันดะ จาระ ภุชา ธารี มาเถ สินทูระ เสเห
มูเส กี อะสะวารี อันธะนะ โก อางขะ เทตะ
โก กายา พามณะนะ โก กุตรร เทตะ
โกทินะ นิระทะนะ มายาฯ
คาถาบูชาพระพิฆเนศ 8 บท
โอม พูตายะ นะมะหะ
โอม ภัคตะวิฆนะ วินาศิเน นะมะหะ
โอม วิฆะณะราชายะ นะมะฮหะ
โอม ศุธิปริยายะ นะมะหะ
โอม ศริษายะ นะมะหะ
โอม สธิรายะ นะมะหะ
โอม สมาหิตายะ นะมะหะ
โอม สมุยายะ นะมะหะ
การสวดมนต์และบูชาเทพเจ้าต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อและจิตใจ เป็นการช่วยเสริมพลังและความมั่นใจให้เราอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของเราด้วย ถ้าเรามีจิตใจที่ดี มีความคิดที่ดี และมีการปฏิบัติตัวที่ดี ควบคู่ไปกับการไหว้ขอพรเทพเจ้าตามวาสนาบารมี แบ่งสมดุลทั้งสองอย่างนี้ให้ดี รับรองว่าความสำเร็จจะบังเกิดขึ้นกับทุกคนอย่างแน่นอน
Create a free web page with Mobirise