พระตรีมูรติ มหาเทพ ผู้สร้าง ผู้รักษา ผู้ทำลาย
พระตรีมูรติ มาจากคำว่า ตรี หมายถึงสาม และคำว่า มูรติ หมายถึงรูปแบบ ดังนั้นคำว่า ตรีมูรติ จึงหมายถึง รูปแบบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ประกอบด้วย พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ เป็นหนึ่งในลัทธิที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์ หากมองตามหลักปรัชญาคือ พระผู้สร้าง พระผู้รักษา และพระผู้ทำลาย เปรียบได้กับหลักธรรมที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป…

พระพรหม+พระวิษณุ+พระศิวะ = พระทัตตาเตรยะ = พระตรีมูรติ

การกำเนิด "พระตรีมูรติ" ก็มีกล่าวกันไว้หลายตำแหน่งต่างๆกัน และมักจะเข้าใจว่าพระตรีมูรติเป็นภาครวมทั้งสามพระองค์ในร่างเดียวกัน เรียกว่า ทัตตาเตรยะ (Dattatreya) คำว่า ทัตตา (Datta) หมายถึง การมอบให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ส่วนคำว่า เตรยะ (treya) หมายถึง ผู้เป็นบุตรแห่งฤาษีอัตริหรือเตรยะ อันเป็นอวตารของมหาเทพทั้งสามพระองค์ บ้างก็กล่าวว่าคือองค์พระนารายณ์ สำหรับเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระตรีมูรติความเดิมมีอยู่ว่า….
ตราบหนึ่งมีฤาษีนามว่า "อณิมาณฑวย" (อะ-นิ-มาน-ดับ-วยะ) กำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญตบะอยู่นั้น ได้มีโจรกลุ่มหนึ่งกำลังหนีเจ้าหน้าที่ผ่านมาทางนั้นพอดี แต่ฤาษีอยู่ในฌานสมาธิจึงไม่ยอมปริปากพูดใดๆ ทำให้เจ้าหน้าที่คิดว่าฤาษีเป็นโจรเสียเอง จึงได้จับตัวมาลงโทษและถูกเจ้าเมืองสั่งประหารชีวิต โดยการเสียบตรีศูลไว้บนยอดเขาแห่งหนึ่งแต่ฤาษีขณะนั้นยังไม่ตาย
ระหว่างนั้น นางศีลวตี ภรรยาที่ซื่อสัตย์ต่อสามีชื่อ "อุครศรวัส" กำลังแบกสามีให้ขี่คอตนเอง และกำลังเดินทางผ่านเขาลูกนั้นพอดีเพื่อจะหานาง อนุสูรยา ซึ่งเป็นเพื่อนรักกัน ประกอบกับวันนั้นมีฝนตกหนักทำให้เดินทางลำบาก สามีที่รักของนางจึงกล่าวโทษฤาษี (อณิมาณฑวย) หาว่าเป็นตัวต้นเหตุทำให้ฝนตก เมื่อฤาษีได้ยินเข้า ก็ไม่พอใจ แม้กำลังจะใกล้ตาย แต่ก็ไม่วายที่จะสาปแช่ง ให้ศีรษะของอุครศรวัสแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงยามใด ที่พระอาทิตย์ขึ้น นางศีลวตีได้ยินคำสาปเข้า ก็ไม่ยอมให้สามีเป็นเช่นนั้น จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้นอีกเลย ซึ่งคำอธิษฐานได้บังเกิดผลทำให้พระอาทิตย์ไม่ขึ้น จึงเดือดร้อนกันไปทั่วทั้งสามโลก ความแจ้งไปยัง พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ แต่ก็ไม่สามารถจะช่วยใดๆได้ เว้นแต่ว่าขอให้นางศีลวตีถอนคำอธิษฐานนั้นเสีย ดังนั้น ทั้งสามพระองค์จึงได้เสด็จไปหานางอนุสูยาก่อน เพื่อให้นางไปขอร้องนางศีลวตีถอนคำอธิษฐานอีกครั้ง ในระหว่างไปพบนางอนุสูยานั้น สามีนางคือ "อรตี" ไม่อยู่บ้าน โดยทำทีว่าขออาหารจากนางอนุสูยา นางยินยอมทำตามที่ร้องขอ แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่านางจะต้องจัดอาหารให้โดยปราศจากอาภรณ์ เหมือนหนีเสือปะจรเข้ เพราะว่าหญิงใดเปลื้องอาภรณ์ต่อหน้าผู้อื่นที่ไม่ใช่สามี ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ซื่อสัตย์ แต่นางไม่อยากผิดคำมั่นสัญญา อีกทั้งคำร้องขอที่แปลกประหลาดนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ซึ่งอาจเป็นกลลวงอะไรสักอย่างได้ เมื่อได้เล็งเห็นเช่นนั้น นางจึงนึกถึงสามี และอธิษฐานที่นางได้กระทำไป ไม่ได้เป็นสิ่งยั่วยวนหรือกามราคะใดๆ เมื่อทั้งสามพระองค์ร้องขอออกมาว่า "โอ้มาตา โปรดให้อาหารแก่เราเถอะ" ประโยคนี้ทำให้นางตัดสินใจคิดเสียว่าทั้งสามพระองค์คือ บุตรของนาง ด้วยความเมตตานางจึงเปลื้องอาภรณ์ออก ทันใดนั้นพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ก็กลับกลายร่างเป็นทารกน้อยทั้งสาม นางอนุสูยาจึงให้น้ำนมและอาหารจนอิ่มหลับไป
เมื่อสามีของนางอนุสูยากลับมาเห็นเข้าและรับทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงได้เข้าไปดูและปลุกขึ้นมาเพื่อชื่นชม แต่แล้วปรากฎว่า ทารกน้อยกลับกลายร่างเป็นพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามดังเดิม พระองค์ทรงสรรเสริญนางที่มีความเมตตา และร้องขอให้นางอนุสูยาไปบอกนางศีลวตี เพื่อขอให้ถอนคำอธิษฐานนั้นเสีย โดยที่สามีนาง (อุครศรวัส) จะไม่ตาย นางศีลวตีเมื่อรับรู้เรื่องราวจึงยินยอมโดยดี ทั้งสามพระองค์จึงตรัสถามนางอนุสูยาว่าต้องการขอพรสิ่งใด นางทูลขอให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ เกิดเป็นบุตรของนางในภายภาคหน้า ทั้งสามพระองค์จึงได้ประทานพรตามคำขอ โดยที่พระนารายณ์เกิดเป็นพระทัตตาเตรยะ พระศิวะเกิดเป็นทุรวาสัส และพระพรหมเกิดเป็นพระจันทร์
พระอินทร์ ชื่ออื่นๆ ท้าวสหัสมนัยน์ ท้าวโกสีย์ ท้าวสักกะ เทวราช อมรินทร์ ศักรินทร์ มัฆวาน เพรชรปาณี เป็นต้น มีลักษณะคล้ายพระนารายณ์
พระอินทร์มีรูปร่างที่สวยงาม มีกายสีเขียว บางครั้งก็สีทองจนขาวนวล แล้วแต่โอกาส
พระหัตถ์ถือวัชระ ใช้ปราบ พฤตาสูร หรือ ผีร้ายแห่งความแห้งแล้ง
และอาจจะเห็นศาสตราวุธอื่นๆอีกอาทิ ศรศักรธนู พระขรรค์ ปรัญชะ ขอและร่างแห

มีรถเทียมม้าสีแดง และม้าทรงสีขาวชื่อ อุจไฉศรพ เป็นม้าแก้ว ที่เกิดจากเกษียรสมุทร มีช้างทรงนามคชาเอราวัณ ซึ่งปกติจะเป็นเทพบุตรรูปงาม ชอบเสวยน้ำโสม ยามพระอินทร์จะไปไหน ก็จะแปลงเป็น ช้างเอราวัณ พระอินทร์ มีมเหสีมากมาย ดังปรากฎนาม นางสุธรรมา สุชาดา สุนันทา สุจิตราและมีนางฟ้าเป็นชายาอีก เก้าสิบสองนาง และ มีนางบำเรออีก ยี่สิบสี่ล้านนาง ในสมัยพระพุทธเจ้าพระอินทร์ได้ทรงดีดพิณสามสายถวายพระสติ พระโพธิสัตว์ ในการทำทุกขกิริยา

ศาสนาพราหมณ์ หรือ ศาสนาฮินดู แต่โบราณจะนับถือ พระอินทร์ ให้เป็นใหญ่สูงสุด พระอินทร์ถือได้ว่าคือเทพเจ้าองค์แรกสุดของศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็ว่าได้ จนในปัจจุบัน การบูชาพระอินทร์ก็ยังมีอยู่ในหมู่ผู้ศรัทธาทั่วไป เพียงแต่ถูกลดบทบาทลงทั้งในศาสนาฮินดู ที่ยกย่อง พระพรหม พระวิษณุ (พระนารายณ์) และ พระศิวะ (พระอิศวร) ขึ้นเป็นใหญ่แทน

เมื่อโบราณ พระอินทร์ ถือว่ามีอานุภาพสูงที่สุดในบรรดาเทพทั้งปวง สามารถดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆได้ เช่น บันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาล ให้พืชพรรณงอกงาม เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดี และยังเป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุดในการบันดาลให้เกิดภัยทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า น้ำท่วม พายุอันรุนแรง ฯลฯ

พระอินทร์ มี วัชระ หรือ สายฟ้า เป็นศาสตราวุธคู่กาย วัชระนี้สามารถสร้างสายฝนและฟ้าผ่า ฟ้าร้องได้ เป็นศาสตราวุธของเทพเจ้าที่ทรงอำนาจเป็นอย่างมาก สามารถผ่ามหาสมุทรได้ สามารถผ่าภูเขาได้ สามารถผ่าท้องฟ้าได้

พระวรกายของพระอินทร์นั้นมีสีเหลืองทอง กระจ่างสดใส อีกตำราก็ว่าพระอินทร์มีผิวสีแดงเข้ม สวมอาภรณ์อย่างสวยสดงดงาม ดูสะอาดสะอ้าน มีงูเป็นสร้อย สวมเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมาย เช่น สร้อยคอ กำไลข้อมือ แหวน มงกุฎอันตระการตา ศิลปินที่วาดรูปพระอินทร์ได้งดงามจะถือว่าเป็นมหากุศลอย่างยิ่ง

พระอินทร์สามารถแปลงกายได้สารพัด สามารถล่องหนไปปรากฎอยู่ที่ใดก็ได้ สามารถเนรมิตให้ร่างกายเล็กกระจิดอย่างมด หรือเนรมิตให้ร่างกายใหญ่โตมหึมาดั่งภูเขา

พาหนะของพระอินทร์มี 2 อย่าง คือ "รถม้า" และรถม้านั่นก็คือ "พระอาทิตย์" นั่นเอง และอีกอย่างคือ "ช้างเอราวัณ" หรือช้าง 3 เศียร (แต่เดิมมีถึง 33 เศียร)

พระอินทร์เป็นมหาเทพที่ยิ่งใหญ่เหนือชีวิตของมนุษย์และสรรพสัตว์
มีหน้าที่ปกป้องดูแลโลกให้พ้นจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ เป็นผู้นำเหล่าเทพเจ้าไปกำจัดอสูรร้ายในหลายคราว
นอกจากศาสนาพราหมณ์แล้ว ในศาสนาพุทธ พระอินทร์ ยังเป็นเทพผู้รักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่ยืนยงถึง 5,000 ปี เนื่องจากพระอินทร์เป็นเทวกษัตริย์ อันหมายถึงเป็นราชาแห่งเหล่าทวยเทพ จึงมีอำนาจในการสั่งการ ทำลายผู้ที่จะนำพาพระพุทธศาสนาไปในทิศทางที่ไม่ดี
เมื่อพระอินทร์ได้ทรงสร้างอาณาจักรบนสรวงสวรรค์ให้ยิ่งใหญ่แล้ว ราชาแห่งทวยเทพพระองค์นี้ก็เนรมิตให้เหล่าเทวดาที่ได้ขึ้นสวรรค์ได้อยู่อย่างมีความสุขปราศจากมลทินและความเศร้าทุกข์ใดๆ
พระอินทร์มีศัตรูคู่กรณีที่สำคัญที่สุดคือ งูยักษ์วริตรา ได้ทำสงครามกันหลายครั้ง แต่ละครั้งก็กินระยะเวลายาวนาน และทุกๆครั้งพระอินทร์ก็จะเป็นฝ่ายชนะเสมอ พระอินทร์ จึงเป็นสัญลักษณ์ของ ธรรมะ และงูยักษ์ ก็เป็นสัญลักษณ์ของ อธรรม นั่นหมายถึงทั้งสองอย่างจะอยู่คู่กันและไม่มีทางดับสูญได้เลย
ท้าวสักกะเทวราช คืออีกพระนามหนึ่งของพระอินทร์ ในตำราหนึ่งกล่าวไว้ว่า พระอินทร์เกิดมาจากผู้ใจบุญจำนวน 33 คน ได้ร่วมกันสร้างศาลาและร่วมกันทำเส้นทางเพื่อถวายเป็นทาน เมื่อตายไปก็ไปเกิดเป็นเทวดา เทวดาเหล่านี้ก็รวมร่างกันกลายเป็นพระอินทร์ ช้างทรงของพระอินทร์จึงมี 33 เศียร เพื่อแสดงถึงผู้กระทำคุณงามความดี 33 คนนั่นเอง
พระอาสน์ (ที่นั่ง) ของพระอินทร์มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เมื่อร้อนขึ้นมาคราใด นั่นหมายถึงโลกมนุษย์ได้เกิดเหตุร้าย อสูรร้ายออกอาระวาด เมื่อนั้นพระอินทร์ก็จะออกจากสวรรค์ แปลงกายเป็นสัตว์ที่มีร่างกายกำยำ แข็งแกร่ง เพื่อลงมาปราบอสูรให้สิ้นไป ผู้ที่ได้ประกอบความดีบนโลกมนุษย์ เมื่อสิ้นอายุแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดา ประทับอยู่บนสรวงสวรรค์อันเป็นวิมานของพระอินทร์
พระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์
พระขันธกุมาร (ขันทกุมาร) เป็นโอรสของ พระศิวะเทพ กับ พระนางปราวตี (พระแม่อุมา) เกิดจากน้ำเชื้อของพระศิวะมหาเทพ ที่ร่วงหล่มลงพื้นธรณี จนยากที่จะพิสูจน์ว่าพระพิฆเนศกับพระขันธกุมารใครเป็นพี่เป็นน้อง
เทวกำเนิดของ พระขันทกุมาร นั้น มีไม่มากเหมือนเทพเจ้าองค์อื่นๆ กล่าวกันว่า พระขันทกุมารนี้เป็นหนุ่มรูปงาม มี 6 พักตร์ (บางแห่งวาดเป็นพระพักตร์เดียว) และมี 12 กร ผิวพรรณนั้นงดงามดั่งจันทร์คืนเพ็ญ แต่สง่างามดุจพระสุริยะเทพ
การกำเนิดของพระขันทกุมารนั้นก็เพื่อปราบอสูรที่ชื่อ ตาระกาสูร เป็นกษัตริย์แห่งแคว้นตรีปุระ อสูรตนนี้มีตบะแรงกล้ามาก สามารถบำเพ็ญฌานบารมีจนร้อนไปถึงพรหมโลก ทำให้จักรวาลสั่นสะเทือนโกลาหลไปหมด กษัตริย์อสูรตนนี้ไม่เกรงพระบารมีของมหาเทพผู้สร้าง (พระพรหม) คิดว่าตนเองก็เป็นหนึ่งเหมือนกัน
การบำเพ็ญฌานบารมีนั้นทำให้ พระพรหม ทนความร้อนไม่ไหว ต้องเสด็จมาประทานพรตามที่อสูรปรารถนา เหตุที่บอกว่าอสูรตาระกามีตบะแรงกล้านั้น เพราะได้ทำสมาธิอย่างเข้มงวดเป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปีสวรรค์ ทำให้พรที่อสูรตนนี้ขอไว้กับพระพรหมคือขอให้มีชีวิตเป็นอมตะ แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดในตรีภพเทียบได้ และไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้นอกเสียจากโอรสของพระศิวะเทพ ที่ขอพรไปเช่นนั้นเพราะล่วงรู้ว่าขณะนั้นพระศิวะกับพระแม่อุมาเทวียังไม่มีโอรสด้วยกันเลย

เมื่อตาระกาสูรได้รับพรจากพระพรหมแล้ว ก็เริ่มออกอาละวาดในจักรวาลทันที!! เริ่มต้นด้วยการยึดเอาวิมานและกวาดเอาทรัพย์สินของพระอินทร์ไปจนหมด บังคับให้พระฤาษีมอบ โคกามเกนุ ซึ่งเป็นโคที่มีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถบันดาลให้เจ้าของได้ทุกสิ่งทุกอย่าง นอกจากนี้ยังเปลี่ยนกฎเกณฑ์ธรรมชาติจนวุ่นวายไปหมด เช่น บังคับให้พระอาทิตย์ดับแสงและไร้ซึ่งความร้อน บังคับให้พระจันทร์ลอยค้างอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา บังคับลมให้พัดโหม หรือเปลี่ยนทิศทางได้ตามคำสั่งของอสูรตาระกา ยังผลให้โลกเดือดร้อนวุ่นวายมาก

ฝ่ายเทวดาทั้งหลายอันมี พระวิษณุเทพ เป็นใหญ่นั้น ได้เสด็จไปยังพระทวารที่ประทับชั้นในของพระศิวะเทพ และร่วมกันเปล่งคำสรรเสริญในพระบารมีแห่งมหาเทวะ คราวนั้นถึงกับทำให้พระศิวะต้องทรงผละพระวรกายปรากฎกายต่อเบื้องหน้าเทพทั้งหลาย พระองค์ทรงเห็นใบหน้าที่เศร้าหมองระทมทุกข์ของเทวดาจึงได้ถามว่าเพราะเหตุอันใด

ฝ่ายวิษณุเทพเล่าเรื่องราวของอสูรตาระกาว่าได้พรจากพระพรหมให้มีชีวิตอมตะไม่มีใครสังหารได้นอกจากโอรสของพระศิวะเท่านั้น ฝ่ายเทพทั้งหลายจึงรอการประสูติของโอรสแห่งพระศิวะอยู่นานนับพันปี จึงได้มาเข้าเฝ้าเพื่อขอพึ่งบารมี

ครานั้น พระศิวะมหาเทพ ได้ทรงแบ่งน้ำเชื้อที่มีความร้อน เหมือนไฟแห่งการทำลายล้างออกมาหยดหนึ่งร่วงลงสู่พื้นดิน ด้วยความรีบร้อน พระอัคนี ได้รีบแปลงกายเป็นนกเขา กลืนเอาน้ำเชื้อนั้นเข้าไป ความร้อนแรงแห่งน้ำเชื้อนั้นทำให้พระอัคนีร้อนรนจนทนไม่ได้ พระศิวะแนะนำให้เอาน้ำเชื้อนั้นไปใส่ในครรภ์ของผู้หญิงแทน และต้องใส่ในครรภ์ของหญิงซึ่งได้อาบน้ำในวันแรกของเช้าตรู่เดือนมาฆะ

ในวันนั้น บรรดาภริยาของฤาษีทั้ง 7 ตนได้มาอาบน้ำ ปรากฎว่า ภริยาทั้ง 6 คน (เหลือเพียงคนเดียว) ที่ลงอาบน้ำนั้นถูกน้ำเชื้อที่นกเขาคายไว้ ซึมแทรกเข้าไปตามรูขุมขน นางทั้งหกจึงร้อนรนทุกข์ทรมานมาก นางทั้งหกได้ถูกเหล่าฤาษีขับไล่ออกจากอาศรม จึงได้ตัดสินใจทำลายน้ำเชื้อที่เป็นตัวอ่อนทิ้ง ด้วยพลังแห่งโยคะที่เทือกเขาหิมาลัย เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความทรมาน ด้วยการเหวี่ยงตัวอ่อนลงไปที่แม่น้ำคงคา เช่นเดียวกับ พระแม่คงคา ที่ได้เหวี่ยงเอาตัวอ่อนนี้ขึ้นไปที่พงหญ้า เสมือนการชุบตัวจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ได้ปรากฎทารกน้อยขึ้นตนหนึ่งที่พงหญ้านั้น

พระพรหมทรงรู้ด้วยญาณว่า โอรสแห่งพระศิวะเทพได้ถือกำเนิดแล้ว จึงบัญชาให้พระฤาษีวิศวามิตรไปประกอบพิธีให้กับโอรสน้อยแห่งศิวะเทพ ทารกนี้พูดได้ตั้งแต่ยังแบเบาะว่า "ด้วยประสงค์ของพระศิวะเทพที่ส่งท่านมายังที่นี้ ขอให้ท่านฤาษีจงประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อชำระร่างกายของข้า ให้บริสุทธิ์ตามกฎแห่งพระเวทที่วางไว้เถิด"

2 พี่น้อง พระพิฆเนศ และ พระขันทกุมาร

บางตำราว่าพระพิฆเนศเป็นน้องชาย

แต่บางตำราก็ว่าพระพิฆเนศเป็นพี่ชาย

ข้างฝ่ายพระอัคนีที่เคยอุ้มน้ำเชื้อไว้ เมื่อสมัยจำแลงกายเป็นนกเขานั้น ได้เดินทางมายังที่แห่งนี้ด้วย และมอบคฑาศักดิ์สิทธิ์ถวายให้กับพระองค์ ทันทีที่ได้รับอาวุธ พระขันทกุมารก็เหาะขึ้นไปบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เพื่อพิสูจน์พลังอำนาจแห่งตน ด้วยการใช้คฑานั้นฟาด จนภูเขาถล่มทลายลงในพริบตา ทันทีที่ยอดเขานั้นแยกออก ได้ปรากฎปิศาจ 10 โกฏิตนออกมาก แต่ก็ถูกพระองค์สังหารจนสิ้น

ต่อมา นางกฤตติกา (กลุ่มดาวทั้ง 6 ดวง) ได้ลงมาอาบน้ำ เห็นกุมารน้อยนอนอยู่ที่กอหญ้า ก็บังเกิดความรักใคร่ นำเอากุมารไปเลี้ยงดูในดินแดนของนางทั้งหก และเพื่อไม่ให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในหมู่แม่นมทั้งหลาย พระกุมารจึงได้แยกร่างออกเป็น 6 พระองค์ (บางตำนานบอกว่ามี 6 พระพักตร์ในร่างเดียว) ด้วยเหตุที่เป็นลูกที่รักยิ่งของนางการัตตี พระองค์จึงได้ชื่อว่า พระการัตตีเกยะ (Kaitikeya)

พระศิวะมหาเทพ พระอุมาเทวี พระขันทกุมาร

ขณะเดียวกันนั้น ได้เกิดเหตุประหลาดกับพระนางปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) คือมีน้ำนมไหลออกจากเต้านมทั้งสองข้าง นางจึงได้ถามเรื่องน้ำเชื้อที่หล่นบนผืนดินกับพระศิวะ เพราะนางเข้าใจว่า เหตุที่น้ำนมของนางซึ่งไหลอยู่นี้ ชะรอยว่าโอรสจะถือกำเนิดแล้ว แต่อยู่ที่ผู้ใดหรือแห่งหนใดกันเล่า พระศิวะจึงมีโองการให้ผู้ครอบครองกุมารรีบเอามาคืนด่วน มิฉะนั้นจะรับโทษหนัก

พระศิวะเทพและพระอุมาเทวี จึงเริ่มตรวจสอบถามความจริงในหมู่เทพ เริ่มจากพระพรหม ติดตามความไล่หาจนมาถึงกลุ่มดาวทั้งหก

พระศิวะเทพยินดีมาก ที่นางทั้งหกได้ดูแลโอรสของพระองค์เป็นอย่างดี จึงส่งคณะเทพบริวารไปทูลเชิญกุมารกลับเขาไกรลาส ในวันเสด็จกลับนั้น พระนางปราวตีได้จัดส่งราชรถที่สร้างโดยพระวิศวกรรมไปรับ โดยพระโอรสเสด็จกลับพร้อมกับนนทิเกศวร และพระแม่กฤตติกา เมื่อราชรถถึงเขาไกรลาส เทพเทวดาทุกชั้นฟ้าเสด็จมาอำนวยชัย ประโคมดนตรีเป่าสังข์ ต้อนรับกันอย่างเอิกเกริก มีการนำหม้อน้ำหลายร้อยใบที่บรรจุแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ มาชำระร่างกายให้กับกุมาร และเหล่าเทพได้มอบสิ่งของให้ดังนี้…
พระขันทกุมาร มหาเทพแห่งนักรบแห่งสวรรค์
เบี้ยแก้
พระราม (รามาวตาร) เทพแห่งความถูกต้องสันติ
รามาวตาร หรือ รามจันทราวตาร หรือ พระราม จากมหากาพย์ รามายณะ ชาวไทยรู้จักกันในชื่อเรื่อง รามเกียรติ์ (จากภาพ พระรามกับนางสีดา)

อวตารครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อกำจัด ท้าวราพณ์ หรือ ทศกัณฐ์ กษัตริย์แห่งกรุงลงกา ซึ่งมี ๑๐ เศียร อสูร ท้าวราพณ์บำเพ็ญตบะเช่นเดียวกับ เหรันตยักษ์ และ เหรัณยกศิปุ ที่บำเพ็ญตบะก็เพื่อความอมตะ เมื่อพบความเป็นอมตะ และประจบประแจง พระศิวะ จนท่านเมตตา มันก็เริ่มประหัตประหารเทพเจ้าและมนุษย์ พระวิษณุ จึงอวตารลงมาเป็นโอรสองค์โตของมหากษัตริย์ ทศรถ แห่งกรุงอโยธยา ซึ่งจัดพิธีบูชายัญม้าเป็นประจำ ทรงพระนามว่า พระราม มีพระอนุชาต่างมาดาคือ พระภรต พระลักษมณ์ และ พระศัตรุต กล่าวกันว่าพระอนุชาของพระองค์ทรงแบ่งรูปลักษณ์มาจากพระวิษณุด้วย

พระราม และ พระลักษณ์ ทรงสนิทสนมกันมาก และได้ฆ่าอสูรที่ฆ่าพราหมณ์ไปเป็นจำนวนมาก วันหนึ่งขณะทรงพระเยาว์ ทั้งสองพระองค์ได้ยินข่าวว่า นางสีดา ธิดาแสนสวยของ กษัตริย์ชนก จะอภิเศกกับผู้ที่สามารถโก่งคันศรของพระศิวะได้ พระรามโก่งคันศรได้ และได้อภิเษกกับนางสีดา ซึ่งก็คือ พระลักษมี อวตารลงมานั่นเอง หลังจากทรงอภิเษกได้ไม่นาน พระทศรถก็สละราชสมบัติ และได้ประกาศนามของผู้ที่จะมารับตำแหน่งใหม่ ในเวลาเดียวกันขณะที่พระภรตไม่อยู่นั้น บริวารของ พระมเหสีไกยเกษี (Kaikeyi) ผู้เป็นพระมารดาของภรต ก็กล่าวให้ร้ายพระราม ทำให้พระนางไม่พอพระทัยพระราม ทรงเป็นที่รักใคร่มากกว่า จึงทรงยุยงและบังคับให้พระทศรถ ยอมยกราชสมบัติทั้งหมดให้ภรต ทั้งยังเนรเทศพระรามออกไปอยู่ป่าเป็นเวลา ๑๔ ปี โดยมีนางสีดา และพระลักษณ์คอยติดตามพระรามไปด้วย ประชาชนและภรตต่างเศร้าโศกกับการจากไปของพระรามมาก จนพระทศรถ ทรงเสด็จสวรรคตในอีก ๑ สัปดาห์ต่อมา

เมื่อ พระภรต ทรงเสด็จกลับมาและทราบข่าว พระองค์ทรงพิโรธพระมารดามาก ทรงเสด็จออกตามหาพระรามเพื่อเชิญเสด็จกลับวัง แต่พระรามไม่ทรงกลับ พระภรตจึงเสด็จกลับเมืองอโยธยา และครองราชสมบัติแทน โดยมี พระบาท ของพระรามอยู่บนราชบัลลังก์ เป็นเครื่องหมายแสดงถึงกษัตริย์ที่มีสิทธิ์อันชอบธรรม

ในช่วงที่อยู่ในป่านางยักษี ผู้เป็นขนิษฐาของท้าวราพณ์ได้หลงรักพระราม แต่พระรามทรงอภิเษกแล้ว จึงให้นางไปสนพระทัยพระลักษมณ์ซึ่งยังไม่อภิเษกดีกว่า แต่พระลักษมณ์ก็ผลักไสนาง นางจึงสงสัยว่าพระลักษณ์คงแอบหลงรักนางสีดาอยู่ นางยักษีจึงทำร้ายนางสีดา และพยายามจะกินนางสีดา แต่พระลักษมณ์มาช่วยไว้ได้ทัน โดยทรงตัดจมูก หู และอกของนางยักษี

นางจึงส่งอนุชาพร้อมกองทัพยักษี ๑๔,๐๐๐ ตนมาล้างแค้น แต่พระรามก็เอาชนะได้ นางจึงไปยุยงให้ท้าวราพณ์ว่านางสีดางดงามมาก และเหมาะสมกับท้าวราพณ์ ท้าวราพณ์จึงลักพาตัวนางไปโดยส่งกวางไปล่อ นางสีดาอยากได้กวาง พระราม พระลักษณ์จึงออกไปจับกวาง จากนั้นท้าวราพณ์ในรูปของฤาษีก็จับนางขึ้นรถ เหาะไปยังกรุงลงการะหว่างทาง นกชฎายุ หรือร่างอวตารของ พญาครุฑ พาหนะของพระวิษณุ ได้ต่อสู้กับอสูรราพณ์แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ ชฎายุจึงพาร่างจวนเจียนจะสิ้นใจกลับมาส่งข่าวแก่พระราม เมื่อมาถึงกรุงลงกา ท้าวราพณ์พยายามเกี้ยวพาราสีนางสีดา แต่นางก็ไม่ใจอ่อน ท้าวราพณ์จึงบังคับให้นางอภิเษกด้วย ถ้านางไม่ยินยอมจะฆ่าและกินนางเสีย แต่นางสีดาก็รอดมาได้ เนื่องมาจากหนึ่งในบรรดาชายาของท้าวราพณ์ ที่ถูกฉุดคร่า มาสาปแช่งว่า ท้าวราพณ์จะต้องตายถ้าฉุดคร่าหญิงอื่นอีก

พระรามทราบข่าวนางสีดาจากนกชฎายุ แล้วทำการปลงศพให้นกชฎายุ จากนั้นก็รีบตามไป ระหว่างทางพบกับ สุครีพ โอรสของพระอินทร์ ซึ่งถูก พาลี พระเชษฐาร่วมพระมารดา เนรเทศออกมาจากอาณาจักรของตน สุครีพ จึงตอบแทนความช่วยเหลือที่ช่วยรบจนได้อาณาจักรคืนมา โดยส่งกองทัพลิงและหมีไปช่วยพระรามและพระลักษณ์ ซึ่งมีหนุมานโอรสของพระวายุเป็นแม่ทัพเดินทางไปกรุงลงกา

หนุมานเหาะข้ามทะเล และลอบเข้ากรุงลงกาเพื่อสอดแนม ขณะนั้นนางสีดา นั้งอยู่ในสวนแต่เพียงลำพัง หนุมานได้แสดงแหวนจารึกพระนามของพระรามเป็นหลักฐาน และบอกแผนการแก่นาง แต่ด้วยความลิงโลดที่ลอบเข้ามาได้ หนุมานก็ดึงต้นไม้ในสวนเล่น ทำให้ถูกจับได้ และถูกส่งไปให้ท้าวราพณ์ ยักษาสั่งให้เผาหางหนุมานโดยผ้าชุบน้ำมันผูกที่หาง แต่หนุมานใช้จังหวะที่ถูกเผาหางอยู่นี้ กระโดดหนีออกมาได้ และไฟจากหางนี่เองทำให้เกิดไฟไหม้กรุงลงกา

หนุมานกลับมาส่งข่าวต่อพระรามว่า ท้าวราพณ์มีป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสร้างโดยพระวิศวกรรมให้แก่กุเวร เจ้าแห่งความมั่นคง เมืองมีอาณาเขตกว้างขวางส่วนมากสร้างด้วยทอง ล้อมรอบด้วยคูเมืองกว้างและกำแพงนี้สร้างด้วยหินและโลหะ ซึ่งมาจากยอดเขาพระสุเมรุ ในระหว่างที่หนุมานเข้าไปในกรุงลงกา พลพรรคของพระรามได้ช่วยกันสร้างสะพานกัน และแล้วเสร็จเมื่อหนุมานกลับมา แม้จะมีอสูรจากใต้ทะเลมาก่อกวนก็ตาม หัวหน้าช่างที่สร้างสะพานคือหัวหน้าลิงชื่อ นล โอรสของพระวิศวกรรม ซึ่งมีพลังทำให้ก้อนหินลอยบนน้ำได้ บางครั้งสะพานนี้ได้รับการเรียกว่า นลเสตุ (สะพานของนล) แต่ปกติจะมีชื่อว่า สะพานของพระราม

เมื่อพระรามและกองทัพข้ามไปได้ ศึกครั้งยิ่งใหญ่ก็เริ่มตรงทางเข้าเมือง พระลักษณ์ถูกโอรสของท้าวราพณ์นามว่า อินทรชิต ทำร้าย แต่หนุมาน ก็ใช้สมุนไพรที่หาได้บน เทือกเขาหิมาลัย มารักษา ในระหว่างนั้นพระอนุชาของท้าวราพณ์ได้กินลิงเป็นร้อยตัวเข้าไป แต่ในที่สุดแล้ว พวกยักษ์ ก็ถูกฆ่าจนหมด การต่อสู้ของพระราม และอสูรราพณ์ก็จบลง โดยในครั้งแรกพระราม ยิงศรใส่ท้าวราพณ์ แต่ยิงไม่เข้า พระรามจึงใช้อาวุธวิเศษที่ได้รับจากฤาษีอกัสยตะ ซึ่งเป็นนักพรตที่มีชื่อเสียงและเป็นศัตรูของพวกยักษ์ กล่าวกันว่าอาวุธนี้เป็นแหล่งรวมพลังของบรรดาเทพเจ้าไว้ และรู้จักกันดีในฐานะเป็นอาวุธของพระพรหม ขว้างออกไปตัดอกของท้าวราพณ์ เหล่าเทวดาพากันโปรยมาลัยดอกไม้ลงมาอวยพรในชัยชนะของพระราม และกองทัพลิงที่เสียชีวิตก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

แม้พระรามจะพบนางสีดาอีกครั้ง แต่พระองค์ก็เย็นชากับนาง เนื่องจากพระรามไม่ทรงเชื่อว่านางสีดา จะยังคงภักดีกับพระองค์อยู่ นางสีดาจึงลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของนาง เมื่อนางลุยไฟ ท้องฟ้าได้ประกาศว่านางบริสุทธิ์ และพระอัคนีเทพแห่งไฟ ได้นำนางไปประทับต่อเบื้องพระพักตร์ของพระราม ซึ่งยอมรับในตัวนางแล้ว จริงๆแล้วพระรามไม่เคยสงสัยในตัวนาง เพียงแต่ประสงค์จะให้นางทดสอบต่อหน้าธารกำนัลเท่านั้น
พระกฤษณะ เทพแห่งความหลุดพ้น
พระกฤษณะ เป็น อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์

ในคัมภีร์ปุราณะ มหากาพย์รามายณะ มหาภารตะ (มหากาพย์เรื่อง "มหาภารตะ" ซึ่งเป็นหนังสือที่ยาวที่สุดในโลก) และตำนานเก่าต่างๆ ของอินเดีย รวมถึงคัมภีร์ทางศาสนาฮินดูอื่นๆ ได้บันทึกและกล่าวถึงไว้ว่า พระวิษณุเทพได้อวตารลงมาเพื่อปราบยุคเข็ญให้แก่เหล่ามวลมนุษย์ทั่วไป ในช่วงเหตุการณ์โลกเกิดกลียุคและเกิดความไม่สงบสุขจากเหล่าอสูร จึงทรงอวตาลลงมาในปางต่างๆ ซึ่งปางพระกฤษณะเทพ คือปางที่ 8 ในการอวตาร10 ปาง ของพระวิษณุเทพ นั่นเอง ลัทธิไวษณพนิกาย กล่าวไว้ว่าพระกฤษณะเกิดมาเพื่อทำลายอสูร ชื่อกังสะ ซึ่งเป็นลุงของพระกฤษณะเอง อสูรกังสะตนนี้ปลอมตัวมาเป็นกษัตริย์นามว่า อุคราเสน แห่งเมืองมถุรา และได้ใช้อำนาจแย่งชิงมเหสีจากกษัตริย์ (องค์จริง) มาโดยมิชอบ และมเหสีก็ทรงไม่ทราบว่าเป็นอสูรที่แปลงกายมาเป็นสวามีของตนอสูรกังสะ เมื่อขึ้นครองเมืองก็สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วไป ต่อมาเมื่อพระวิษณุเทพทรงทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชน จึงทรงอวตารมาในปางพระกฤษณะเพื่อปราบอสูรกังสะตนนี้

พระกฤษณะนั้นเป็นบุตรของ พระวสุเทพ(โอรสท้าวศูรราช)และนางเทวกี (บุตรีท้าวอุคระเสน) ในนครมถุรา เมื่อหมดสมัยของท้าวศูรราชท้าวอุคระเสนก็ปกครองเมืองมถุราต่อ แต่พญากงส์ บุตรของท้าวอุคระเสน ได้เป็นกบฏ ถอดท้าวอุคระเสนแล้วขึ้นปกครองเสียเอง ครั้งเมื่อนางเทวกีตั้งครรภ์มีโหรทำนายว่า ทารกในครรภ์นั้น จะเป็นผู้วิเศษมาเกิด พญากงส์จึงจับนางเทวกีและพระวสุเทพขังเอาไว้ เมื่อครบกำหนดคลอดก็ให้ฆ่าทารกเสีย ทำเช่นนี้อยู่ 6 ครั้ง จนถึงครั้งที่8 เทวดาได้ย้าย ทารกไปไว้ในครรภ์ นางโหริณีมเหสีฝ่ายซ้ายของพระวสุเทพ ทารกนี้มีนามว่า พระ กฤษณะ มีกายสีดำ มีลักษณะของมหาบุรุษเพียบพร้อม พระวสุเทพจึงนำกุมารนี้ไปฝากโคบาล( ผู้เลี้ยงวัว ทำปศุสัตว์ )ชื่อนันทะ และนางยโศธา แล้วเอาทารกของนาง ยโศธาเปลี่ยนตัวแทนแต่พญากงส์ทราบเข้าจึงสั่งให้ฆ่าทารกเสียทั้งหมดแล้วให้ราชบุรุษจับตัวพระกฤษณะมาให้ได้

นันทะและนางยโศธาจึงพาพระกฤษณะ ไปอยู่ที่ตำบล พฤนทาพน พระกฤษณะจึงเติบโตท่ามกลางหมู่โคบาล และให้ความอนุเคราะห์เหล่าโคบาลนี้ ระหว่างนั้นได้แสดงปาฏิหารย์มากมาย อย่างเช่น ยกภูเขาโควรรธนะ จนสามารถมีชัยเหนือพระอินทร์ จนได้ชื่อว่า อุเปนทร = ดีกว่าพระอินทร์ รวมถึง ปราบพญานาค กาลียะ ฯลฯ ญากงส์พยายามที่จะสังหาร พระกฤษณะหลายครั้ง ในที่สุดพญากงส์เชิญให้ไปเล่นสรรพกิฬาในเมืองมถุรา พญากงส์ได้วางตัวมวยปล้ำที่เก่งที่สุดเอาไว้เพื่อกำจัดพระกฤษณะ โดยเฉพาะ แต่พระกฤษณะสามารถเอาชนะได้และได้ฆ่าพญากงส์ตาย จากนั้นจึงพระเจ้าอุคระเสนขึ้นครองเมือง

พระแม่กาลี  คือร่างที่บ่งภาคมาจาก พระอุมาเทวี (พระแม่อุมา) โดยทรงมีจุดประสงค์เพื่อปราบอสูรตนหนึ่ง นามว่า อสูรทารุณ

ความเป็นมามีอยู่ว่า อสูรทารุณนี้แม้ว่าจะถูกฆ่าสักกี่ครั้งก็ไม่มีวันตาย แล้วที่สำคัญกว่านั้นเมื่อเลือดตกลงพื้นเมื่อใดก็จะทวีขึ้นเรื่อยไปไม่หมดสิ้น ความที่คิดว่ามีอิทธิฤทธิ์มากมาย ฆ่าไม่ตาย จึงทำให้อสูรทารุณเกิดฮึกเหิมในความเก่งกาจของตน จึงนำอิทธิฤทธิ์ ความเก่งกาจมาใช้ในการกลั่นแกล้ง รังแกผู้คน เทวดาทั่วไป สุดท้ายก็คิดจะครอยครองโลกทั้งสาม เมื่อเป็นดังนี้แล้วเหล่าเทวดา นางฟ้า ผู้ทรงศีลทั้งมวล จึงต้องนำเรื่องเข้าเฝ้าพระอิศวร เพื่อหาทางปราบอสูรตนนี้ เหล่าเทวดาทั้งหลาย เมื่อได้ฟังสรรพคุณของอสูร ก็ไม่มีใครกล้าอาสาออกไปสู้รบเลย

จนในที่สุด องค์พระศรีมหาอุมาเทวี เทพสตรีแห่งสวรรค์ ได้มีความประสงค์ที่จะออกปราบศัตรูร้าย ซึ่งพระองค์ได้ขอพรขอต่อองค์พระศิวะผู้เป็นเจ้า เพื่อให้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แล้วจึงเสด็จเพื่อบำเพ็ญตบะทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ ให้มีฤทธิ์อำนาจปราบศัตรูร้ายได้ โดยได้กระทำพิธีในอุทยานเขตแดนป่าหิมพานต์ โดยพระศรีมหาอุมาเทวีได้ทรงมอบหมายให้องค์ขันทกุมาร (หรือ พระสกันทะ ซึ่งเป็นโอรสอีกองค์หนึ่งของพระศิวะและพระแม่อุมาเทวี) รับหน้าที่ดูแลไม่ให้ใครย่างกรายเข้าไปในพิธีได้โดยเด็ดขาด

เพื่อเสร็จพิธีแล้วพระแม่กาลีจึงรีบเสด็จออกจากอุทยาน เพื่อตามล่าสังหารอสูรทารุณ ซึ่งไม่นานพระแม่กาลีก็ได้เผชิญหน้ากับอสูรทารุณ และด้วยฤทธิ์อำนาจของทั้ง 2 ฝ่าย การต่อสู้ที่ยาวนานจึงเกิดขึ้น

จังหวะที่พระแม่กาลีทรงใช้ดาบฟันคออสูรขาด เลือดของอสูรก็หยดลงพื้น อสูรจำนวนมากจึงผุดขึ้นมาจากหยดเลือดเหล่านั้น อสูรที่เพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆตามหยดเลือดของอสูรทารุณ พระแม่กาลีเห็นดังนั้นจึงคิดว่าคงไม่มีวันฆ่าอสูรตนนี้ให้ตายได้เป็นแน่

พระแม่กาลีจึงคิดกลอุบายเพื่อเอาชัยชนะในครั้งนี้ให้ได้ โดยการตัดหัวของอสูรพร้อมทั้งดูดกินเลือดอสูรก่อนที่เลือดจะตกลงพื้น เมื่อกินจนหมดสิ้นแล้ว รูปกายของพระแม่กาลีจึงอ้วนใหญ่ ในมือนั้นถือหัวของอสูรที่ตัดร้อยเป็นพวงไว้ อสูรทารุณจึงสิ้นฤทธิ์ลงด้วยเหตุนี้

ด้วยความดีพระทัยที่ทรงได้รับชัยชนะในครั้งนี้ พระแม่กาลีจึงเต้นระบำอย่างสำราญหทัยที่สุด จนลืมพระองค์ ทรงยกพระบาทขึ้นหมายจะกระทืบลงพื้นโลกอย่างเต็มแรง!!

ชั่วระยะเวลานี้ เหล่าเทวดาทั้งหลายเห็นดังนั้นก็คิดว่าเมื่อพระแม่กาลีกระทืบพระบาทลงพื้น พื้นโลกคงแตกสลายสร้างความเดือดร้อนเป็นแน่แท้ จึงรีบพากันเข้าเฝ้าพระศิวะอย่างเร่งด่วน พระศิวะได้ฟังคำจากเหล่าเทวดาจึงได้ตะหนักว่า พระแม่กาลีที่มีรูปกายน่าเกลียดน่ากลัวนั้น แท้จริงควรจะเกรงใจพระองค์และจดจำพระองค์ได้บ้าง คิดได้ดังนั้นจึงเสด็จไปอย่างรวดเร็วและไปนอนขวางพื้นโลกไว้ พระแม่กาลีก้มลงเห็นพระศิวะนอนขวางอยู่จึงชะงักด้วยความเกรงอกเกรงใจพระสวามี จึงไม่กล้ากระทืบพระบาทลงพื้นดิน และหยุดการกระทำนั้นลง เหล่าเทวดาทั้งหลายจึงโล่งอก พระแม่กาลีแปลงร่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ เหตุการณ์จึงจบลงฉะนี้…

พระแม่กาลี (มหากาลีเทวี) เทพีแห่งการทำลายอุปสรรค ขจัดศัตรู
เทพีทุรคา (ทุรกาเทวี) เทพีแห่งพละกำลังและการสู้รบ

พระแม่ทุรคา หรือ พระแม่ทุรกา เป็นอีกปางหนึ่งของ พระแม่อุมาเทวี ที่อวตารมาปราบอสูรชื่อ มหิษาสูร นับว่าเป็นปางที่สำคัญและยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าปาง พระแม่กาลี มีความเหี้ยมหาญ แข็งแกร่ง มีพละกำลังมาก แต่ไม่ดุร้ายน่ากลัวเท่ากับปางพระแม่กาลี เมื่อบูชาพระแม่ทุรคาอย่างสม่ำเสมอ พระองค์จะประทานพรด้านความกล้าหาญ ชนะศัตรูรอบทิศ การมีบริวาร มีความยุติธรรม ตลอดจนการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

วิธีแยกความแตกต่างระหว่าง พระแม่อุมา กับ พระแม่ทุรคา

พระแม่อุมาเทวี กับ พระแม่ทุรคาเทวี มีลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกัน ทำให้มีผู้สับสน เข้าใจผิด หรือมองสลับกันเสมอๆ โดยเฉพาะในงานภาพเขียน รูปบูชาของอินเดีย มักจะมีการวาดให้คล้ายๆกัน จึงขอแนะนำข้อสังเกตเบื้องต้นง่ายๆ ดังนี้
- พระแม่อุมา รูปภาพส่วนใหญ่จะวาดให้ทรงพาหนะ เสือ (ส่วนน้อยจะเป็นสิงโต)
- พระแม่ทุรคา รูปภาพส่วนใหญ่จะวาดให้ทรงพาหนะ สิงโต (ส่วนน้อยจะทรงพาหนะเสือ)

แต่ถ้าหากในรูปภาพนั้นไม่ได้ทรงพาหนะใดๆ
ให้สังเกตที่ พระกร-พระหัตถ์ (แขนและมือ) ที่ทรง ศาสตราวุธ (อาวุธ) ดังนี้
- พระแม่อุมา มักมี 4-8 พระกร หากปรากฎคู่กับพระศิวะไม่ค่อยมีศาสตราวุธใดๆ จะเป็นลักษณะประทานพรหรืออุ้มพระพิฆเนศและพระขันทกุมาร
- พระแม่ทุรคา มักมีมากกว่า 8,10,12,16 พระกรขึ้นไป ทรงศาสตราวุธครบถ้วน
และมักจะมีอสูรที่ชื่อ มหิษาสูร ที่กำลังถูกพระแม่ทุรคาใช้ ตรีศูล (อาวุธสามง่าม) หรือ ดาบ แทงอยู่ด้วย จิตรกรไม่นิยมวาดให้พระทุรคาปรากฎคู่กับพระศิวะ



พระแม่สรัสวดี คือ ชายาของ พระพรหม (ผู้สร้างโลก)

พระแม่ลักษมี คือ ชายาของ พระวิษณุ (ผู้ดูแลโลก)

พระแม่อุมา คือ ชายาของ พระศิวะ (ผู้ทำลายโลก)

พระแม่สรัสวดี เป็นตัวแทนแห่ง ปัญญาความรู้

พระแม่ลักษมี เป็นตัวแทนแห่ง ความร่ำรวย

พระแม่อุมา เป็นตัวแทนแห่ง ความมีอำนาจ

ซึ่งคุณสมบัติทั้ง 3 ประการนี้ (ความรู้ ร่ำรวย มีอำนาจ) ก็คือ 3 คุณสมบัติสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนดิ้นรนแสวงหา และไม่มีผู้ใดปฏิเสธเลยว่า บุคคลที่มีทั้งปัญญาความรู้ มีทั้งความร่ำรวยสมบูรณ์ และมีทั้งอำนาจบารมี จะสามารถยืนหยัดเฉิดฉาย อยู่ในแวดวงสังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ชาวฮินดูจึงเชื่อว่า การกราบไหว้เคารพบูชาพระแม่หรือมหาเทวีทั้ง 3 พระองค์นี้ด้วยซื่อสัตย์ และมอบความรักความศรัทธาอย่างแรงกล้าแก่พระองค์แล้ว พระองค์ย่อมประทานพรให้ผู้ศรัทธาได้รับทั้งปัญญา ความร่ำรวย และความมีอำนาจอย่างครบถ้วน

ความงามของพระแม่ทั้ง 3 พระองค์นั้นก็มีความงามที่แตกต่างกันไป โดยผู้บูชาสามารถมองเห็นและรู้สึกได้ทุกคน นั่นคือ

พระแม่สรัสวดี มีความงามแบบ สุขุม นิ่ง เยือกเย็น ดูฉลาด

พระแม่ลักษมี มีความงามแบบ น่ารัก นุ่มนวล อ่อนช้อย ดูอบอุ่น

พระแม่อุมา มีความงามแบบ น่าเกรงขาม ดูเฉียบขาด

พระแม่สรัสวดี จะทรงเครื่องดนตรีเสมอ

พระแม่สรัสวตี เทวีแห่งสรรพความรู้

พระนามของพระแม่สรัสวดี นั้นออกเสียงเรียกได้อีกหลายวิธี เช่น พระแม่สรัสวตี พระแม่สุรัสวดี พระแม่สุรัสวตี ฯลฯ

พระแม่สรัสวดี คือชายาแห่งพระพรหมผู้สร้างโลก พระองค์ประทับอยู่ในวิมาน ณ สวรรค์ชั้นพรหม หรือพรหมโลก เป็นมหาเทวีหนึ่งในสามเทวีสูงสุด ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในประเทศอินเดียยังมีแม่น้ำสายที่สำคัญมากที่ชื่อ สรัสวดี อีกด้วย

พระสรัสวดี หรือ พระสุรัสวดี ทรงเป็นธิดาแห่งพระทักษะและนางประสูตร แต่ในมหากาพย์มหาภารตะนั้นมีการกล่าวถึงว่า พระกฤษณะคือผู้สร้างพระสุรัสวตี และคัมภีร์พระเวทขึ้นมาพร้อมกันจากจิตใจของพระองค์ พระแม่สุรัสวตีจึงถือว่าเป็นเทพแห่งพระเวททั้งปวง

พระแม่สรัสวตีจึงเปรียบเสมือนครู อาจารย์ พระองค์คือเทวีแห่งสรรพความรู้ วิชาการอันล้ำลึก วิทยาการอันก้าวหน้า พระองค์คือสัญลักษณ์แห่งงานศิลปะทุกแขนง ทั้งการวาดเขียน การดนตรี อักษรศาสตร์ การแต่งตำรา การเขียนหนังสือ พระองค์คือเทวีแห่งปรีชาญาณอันชัดเจนแจ่มแจ้ง การเล่าเรียน ศึกษาหาความรู้ การวิจัย การวิเคราะห์ การพูดจา การเจรจาต่อรอง ตลอดจนเป็นผู้ให้กำเนิดอักขระของอินเดีย คือ อักษรเทวนาครี นั่นเอง

พระองค์ยังเป็นผู้ให้กำเนิดบทสวดมนต์บทแรกของจักรวาล ชาวฮินดูยังนับถือพระสรัสวดีเป็น เทวีแห่งเวทมนต์ คาถา และการประกอบพิธีกรรม ฉะนั้น หากมีการประกอบพิธีบูชาเทพหรือเทศกาลใดๆแล้ว ถ้าอัญเชิญ พระพิฆเนศ เป็นเทพองค์แรกก็จะทำให้พิธีนั้นๆเกิดสิริมงคลขึ้น และการอัญเชิญ พระแม่สรัสวตี ร่วมด้วย ก็ย่อมบันดาลให้การสวดมนต์และการประกอบพิธีกรรมทุกขั้นตอน ดำเนินไปอย่างศักดิ์สิทธิ์ มีพลังเข้มข้นและมีประสิทธิภาพสูงสุด

พระสรัสวดีทรงโปรดการแสดงดนตรี การบรรเลงบทเพลง การร้องเพลงถวาย การอ่านบทกวีถวาย ฯลฯ ผู้บูชานิยมเปิดเพลง หรือบรรเลงดนตรีที่มีท่วงทำนองประณีตงดงามถวายแด่พระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีประเภทใดท่านก็โปรดทั้งสิ้น เช่น พิณ จะเข้ ขิม ไวโอลีน กีต้าร์ เปียโน กลอง ฯลฯ

รูปภาพของพระแม่สรัสวดี หรือ สรัสวตี นั้นจะสังเกตได้ง่ายที่สุดคือ พระองค์จะทรงเครื่องดนตรีที่เรียกว่า วีณา (จะเข้ของอินเดีย) อยู่เสมอ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการดนตรี ศิลปะทุกแขนง และการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ฯลฯ พระหัตถ์อีกข้างจะถือ คัมภีร์ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้ ปัญญา การเขียน การอ่าน การศึกษา และพระหัตถ์อีกข้างทรงถือ ลูกประคำ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการสวดมนต์ การภาวนา การทำสมาธิ การประกอบพิธีกรรม ฯลฯ

บางลัทธิ บางคติที่มีการวาดรูปพระสรัสวตีเพื่อการบูชานั้น อาจจะวาดให้พระองค์ทรง ขลุ่ย สังข์ คันศร คฑา บ่วง ลูกบด ประตัก ฯลฯ แล้วแต่จิตรกรจะสร้างสรรค์ขึ้น สำหรับพาหนะของพระแม่สรัสวดีคือ หงษ์ และ นกยูง เน้นที่สีขาว บางครั้งก็ทรงประทับบนดอกบัวสีขาว

แม้ว่าพระสรัสวดีจะเป็นชายาของพระพรหม แต่ก็มักจะปรากฎเดี่ยวๆ ไม่ค่อยปรากฏคู่กับพระพรหมเท่าใดนัก หรือมักปรากฎพร้อมกับพระพิฆเนศและพระแม่ลักษมี ในรูปภาพบูชาแบบ ตรีเอกานุภาพ (พลังทั้งสาม) หรือปรากฎพร้อมพระแม่ลักษมีและพระแม่อุมา ในรูปภาพบูชาแบบ ตรีศักติ (พระแม่ทั้งสาม) มากกว่า

ในทางศาสนาพุทธ พระสรัสวดี ก็มีพุทธคติเป็นเทพแห่งการศึกษา โดยเฉพาะในพุทธนิกายมหายานนั้น ก็มีความสำคัญรองจาก พระนางปรัชญาปารมิตา และ พระนางตารา (ข้อมูลของ อ.กิตติ วัฒนะมหาตม์)

การบูชาพระสรัสวตีนั้นก็เหมาะสมแก่นักเรียน นักศึกษา มีการประดิษฐานเทวรูปในสถานศึกษา เช่น ที่ วัดเทพมณเฑียร ก็ประดิษฐานเทวรูปพระแม่สรัสวตีไว้หน้าทางเข้า โรงเรียนภารตวิทยาลัย ผู้ที่จะเดินเข้าโรงเรียนและวัดเทพมณเฑียรก็จะสักการะเทวรูปพระแม่สรัสวตีก่อนเสมอ นอกจากนี้พระแม่สรัสวดียังเหมาะสมแก่การบูชาสำหรับผู้มีอาชีพเป็นครู นักวิจัย นักวิชาการ นักโบราณคดี ผู้ที่อยู่ในแวดวงแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ฯลฯ

นอกเหนือจากวิชาชีพวิทยาศาสตร์ แพทยศาสตร์ และครุศาสตร์แล้ว ผู้ที่สมควรบูชาพระแม่สรัสวดีก็ยังมีสายวิชาชีพศิลปะ การวาดเขียน การแต่งเพลง การดนตรีทุกแขนง ตลอดจนสายนิเทศศาสตร์ นักเขียน นักข่าว นักพูด นักบรรยาย ฯลฯ

จริงๆแล้วก็เรียกได้ว่าครอบคลุมแทบทุกสาขาอาชีพเลยทีเดียว ฉะนั้น ผู้ที่ต้องการค้นคว้าหาความรู้และพัฒนาฝีมือทักษะในวิชาชีพของตนอย่างไม่หยุดนิ่ง ก็ขอแนะนำให้บูชาพระแม่สรัสวดีเป็นเทพประจำตัวเพื่อขอพรให้มีทักษะและความรู้เพิ่มพูนยิ่งๆขึ้นไป

คนไทยสมัยก่อนมักออกเสียงพระองค์ว่า สุรัสวดี อันปรากฎในหนังสือ จินดามณี และชาวไทยยังถือว่าพระองค์เป็นผู้อุปถัมภ์การละคร การแสดง การร่ายรำ จึงได้มีการมอบ รางวัลพระสุรัสวดี ให้แก่นักแสดงและผู้เกี่ยวข้องกับวงการภาพยนต์ไทยมานานหลายปีแล้ว

เทศกาลสำคัญขององค์พระแม่สรัสวดี คือ เทศกาลวสันตะ ปัญจมี ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี มีการประกอบพิธีบูชาพระสรัสวตีทั้งวันทั้งคืน พร้อมทั้งแห่เทวรูปไปทั่วเมือง และทำการสรงน้ำ หรืออัญเชิญลงสรงน้ำในแม่น้ำ เช่นเดียวกับวันคเณศจตุรถี มีการตกแต่งบ้านเรือนและเทวาลัยของพระองค์ด้วยดอกดาวเรือง ดูสวยงามไปทั้งเมือง การประกอบพิธีในเทศกาลนี้ก็เพื่อต้อนรับการมาของฤดูใบไม้ผลิ หรือวสันตฤดูนั่นเอง
พระแม่สรัสวดี เทพีแห่งความรู้
พระอัคนี เป็นเทพแห่ง ไฟ ทรงเป็นหนึ่งในเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในยุคแรก และทรงเป็นคู่แข่งสำคัญของ พระอินทร์ อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็มีตำนานที่น่าเคารพมากมายเช่นเดียวกับพระอินทร์ ถือกันว่า ไฟ เกิดขึ้นได้ก็มาจากการเสียดสีของสิ่ง 2 สิ่ง ดังนั้นไฟจึงถือว่าเป็นบุตรของ โลก (พระนาง ปฤถวี) และ สวรรค์ (พระทโยส : Dyaus) และเป็นพระอนุชาของพระอินทร์ ทรงโปรดเสวยน้ำเนยใสเหมือนพระอินทร์ ทรงโปรดน้ำโสม พระองค์จึงมีพระชิวหา (ลิ้น) ถึง 7 ชิวหา เพื่อใช้เลียเนยที่ละลายจากการบูชายัญไฟ ซึ่งแต่ละชิวหามีชื่อประจำ พระอินทร์เป็นผู้ให้ชีวิต และพระอัคนีเป็นสัญลักษณ์ของการจุดประกายที่สำคัญ ซึ่งเป็นรากฐานแห่งชีวิตมนุษย์ สัตว์ รวมถึงพืช ต้นไม้

พระอัคนีทรงเป็นอมตะ เป็นผู้ริเริ่มพิธีบูชายัญ พระองค์ทรงเป็นต้นแบบของพราหมณ์ เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ เป็นผู้สื่อสารของพระเจ้า โดยการไปเยี่ยมมนุษย์ในพิธีบูชายัญ และจะเป็นผู้อัญเชิญเทพเจ้ามายังสถานบูชา

ตำนานการเกิดของพระองค์บ้างก็กล่าวว่า พระองค์ทรงเป็นเทพแห่งปฐพี ซึ่งมี พระวายุ หรือ พระอินทร์ เป็นเทพแห่งลม และพระสุริยะเป็นเทพแห่งท้องฟ้า กระนั้นยังกล่าวว่า พระอัคนี ทรงเป็นเทพทั้ง 3 โลก และเป็นหัวหน้าเทพทั้งสอง มืเรื่องเล่าอีกว่า พระองค์ทรงประสูติใหม่ถึง 3 ครั้ง คือ พระองค์ทรงประสูติเป็นพระอาทิตย์ในสวรรค์ หรือบางครั้งก็ทรงประสูติเป็นเปลวเพลิงแห่งพระอาทิตย์ ครั้งที่ 2 พระองค์ประสูติบนโลกมนุษย์ โดยการจุดไฟของพราหมณ์และมนุษย์ในพิธีบูชาไฟ ซึ่งทำให้เกิดความอบอุ่น ช่วยปกป้องและบำรุงเลี้ยงในรูปของที่ตั้งเตาไฟ ซึ่งควันไฟจะลอยขึ้นไป กลายเป็นเมฆในชั้นบรรยากาศอีกครั้ง พระองค์จึงสามารถเข้าไปสัมผัสสำรวจในทุกรูปการณ์ได้ และได้รับการบูชาเหมือนดั่งเช่นวิญญาณในบ้านด้วย

ในฐานะที่เป็นเจ้าแห่งการสร้าง บทบาทของพระองค์คือ การให้ชีวิต และทรงร่วมแบ่งลักษณะอื่นๆจากพระเชษฐาหรือพระอินทร์ด้วย ศัตรูของพระองค์คือพวก รากษส ที่ชอบกินเนื้อมนุษย์ ในการสู้รบกับอสูรพระองค์จึงแปลงพระวรกายเป็นอีกรูปหนึ่ง คือ พระฉวีกลายเป็นสีแดง มีพระเศียรเป็นเปลวไฟสามเศียร มีขา 3 ขา และพระกร 7 กร ทรงสวมมงกุฏผลไม้ ส่วนอสูรจะมีเขี้ยวยาว และรูปลักษณ์น่าเกลียด พระอัคนี จะทรงเสกเขี้ยวเหล็กยาวแหลม 2 อัน มาต่อสู้กับพวกอสูร และใช้เขี้ยวเหล็กนั้นแทงอสูรและกลืนพวกมันลงไป

การบูชายัญของพระองค์จะมีการถวายเนื้อมนุษย์ เนื้อนี้จะต้องเป็นเนื้อบริสุทธิ์ ถ้าไม่บริสุทธิ์ พระองค์จะทำให้บริสุทธิ์เสียก่อน ในการนี้จะมี ฤษีภฤคุ คอยจัดการอยู่ เขาจะไปลักพาเด็กหญิง 1 คน มาหมั้นกับอสูรหรือปีศาจก่อน อสุรานี้จะทราบว่าพระอัคนี ทรงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง จึงถามพระอัคนีว่า เด็กหญิงอยู่ที่ไหน พระอัคนีจะตอบอสุราด้วยความสัตย์ และมันจะหาตัวเด็กเจอ อีกเรื่องหนึ่งกล่าวไว้ว่า พระอัคนีมาสู่มนุษย์โดย เทพครึ่งอสูร (Matarisvan) เทพครึ่งอสูรผู้ที่มารับคือ ฤษีภฤคุ ซึ่งจะเป็นผู้ทำพิธีบูชาพระอัคนี

บางตำนานก็เล่าว่า พระองค์ไม่ได้เสวยแค่เนยใสเท่านั้น แต่ยังเสวยน้ำโสมเหมือนเช่นพระอินทร์ด้วย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทพแห่งการสวดมนต์ พฤหัสบดี (Brihaspati) พระองค์จะเป็นผู้ช่วยพระอินทร์ในการสร้างจักรวาล ส่วนบทบาทของพระองค์สืบต่อมาในช่วงปลายยุคพระเวท ซึ่งเป็นช่วงที่พระอินทร์ใกล้จะกลืนอำนาจของพระองค์เป็นผลสำเร็จแล้ว
พระอัคนี เทพแห่งไฟ
พระวิษณุ (Vishnu) หรือพระนารายณ์ เทพผู้ดูแลรักษา
พระวิษณุ (Vishnu) หรือเรียกอีกอย่างว่า พระนารายณ์ เป็น1 ใน 3 มหาเทพ มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั้ง 3 โลกตามความเชื่อของชาวฮินดู จากคัมภีร์พราหมณ์ รูปร่างลักษณะมีพระวรกายจะมีสีที่เปลี่ยนไปตามยุค ฉลองพระองค์ดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎทอง อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์ จักร ตรี คทา แต่ที่จะพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือถือ จักร์ สังข์ คทา ส่วนอีกกรจะถือ ดอกบัวบ้าง หรือ ไม่ถืออะไรเลยบ้าง(โดยจะอยู่ในลักษณะ"ประทานพร")
โดยปรกติ พระวิษณุ จะทรงประทับอยู่ที่เกษียรสมุทร โดยส่วนมากจะทรงบรรทมอยู่บนหลัง อนันตนาคราช โดยมีพระชายาคือ พระลักษมีมหาเทวี คอยฝ้าดูแลปรนิบัติอยู่ข้างๆเสมอ พาหนะของพระวิษณุคือ พญาครุฑ
พระวิษณุ มีอีกชื่อหนึ่งว่า "หริ" แปลว่าผู้ดูแลแห่งจักรวาลถือเป็นเทพสูงสุด เพราะทุกอย่างเกิดจาก "หริ" โดย"หริ"ได้แบ่งตนเองออกเป็น 3 คือ
พระพรหม มีหน้าที่สร้างและลิขิตสรรพสิ่งทั้งปวงในทั้งสามโลก
พระวิษณุ หรือ พระหริ มีหน้าที่ดูแลทั้งสามโลกให้อยู่ในความเรียบร้อย และสมดุล
พระศิวะ มีหน้าที่ทำลายสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงในโลกทั้งสาม
การกำเนิดของพระวิษณุ ในคัมภีร์ไวษณพนิกาย (นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่)กล่าวว่าเมื่อยามที่พระวิษณุผู้เป็นใหญ่แห่งจักรวาลมีประสงค์จะสร้างโลกทั้ง 3 นั้น ท่านได้เห็นว่าการสร้างโลกทั้ง 3 นี้ เป็นงานที่หนักสำหรับคนเพียงคนเดียว ท่านจึงแบ่งบางส่วนของร่างกายพระองค์ออกเป็นมหาเทพทั้ง 3 พระองค์ โดยแขนซ้ายเป็นพระพรหม แขนขวาเป็นพระศิวะ และส่วนอกเป็น พระวิษณุ (แม้แต่ในรูปตรีมูรติ ก็จะเห็นว่า พระพักตร์ของพระวิษณุจะอยู่ตรงกลางเสมอ)
ส่วนในคัมภีร์ของไศวนิกาย(นับถือพระศิวะเป็นใหญ่)จะกล่าวต่างออกไปคือ “พระปรเมศวร” (พระศิวะ) เป็นผู้สร้างพระวิษณุ เนื่องจากทรงมีพระประสงค์จะสร้างสวรรค์และโลก ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ จึงได้ทรงต้องการผู้ช่วย โดยการนำหัตถ์ซ้ายมาลูบหัตถ์ขวา จึงบังเกิดเป็นเทพชื่อ “พระวิษณุ” หรือ “พระนารายณ์” พระปรเมศวร ได้สอนศิลปะด้านต่าง ๆ ให้กับพระวิษณุ ในทุกด้าน และให้ประทับอยู่ ณ เกษียรสมุทร เมื่อเกิดเหตุร้ายในโลกมนุษย์ หรือสวรรค์เมื่อใด พระวิษณุก็จะมีหน้าที่ไปปราบปรามเหล่าอสูร และผู้ประสงค์ร้ายนั้น ๆ โดยในบางคราวก็จะได้รับการร้องขอจากเหล่าเทพเทวดาบ้าง
คัมภีร์มหาภารตะ เล่าไว้ถึงพระนารายณ์ว่าแต่เดิมคือฤๅษีตนหนึ่ง เป็นบุตรของฤๅษีธรรมมะ ได้เดินทางจากโลกมนุษย์ ไปสู่สถานที่ของพวกพราหมณ์พร้อมเพื่อนสนิทนามว่า “นร” เพื่อบำเพ็ญเพียรจนได้รับการเคารพบูชาจากเทพเทวดาทั้งมวล ต่อมาได้รับการขอร้องจากเหล่าเทวดาให้ช่วยปราบอสูรที่สร้างความเดือดร้อน ฤๅษีทั้งสองจึงได้รับปากช่วยเหลือโดยได้ออกรบกับอสูรจนได้รับชัยชนะ จึงได้รับความเคารพนับถือจากเหล่าเทวดายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน จนภายหลังฤๅษีนารายณ์ได้ออกเดินทางไปบำเพ็ญตนยังหิมาลัยจนบรรลุผลเป็นพราหมณ์ (ผู้รู้แจ้งทุกสิ่งในโลก) และได้เป็นผู้นำเหล่าพราหมณ์ในเวลาต่อมา จากการยกย่องบูชาตลอดที่ผ่านมาจนเป็นที่รู้จักในนาม “พระวิษณุ(นารายณ์)”
พระนามของพระวิษณุ พระนารายณ์ มีผู้ขนานนามเรียกขานจากความแตกต่างกันตามความเชื่อ พระนามตามฤทธิ์อำนาจ และตามเหตุการณ์ที่ต่างกันตามกาล อาทิ อนันตะ ไม่สิ้นสุด จตุรภุช มี 4 กร มุราริ เป็นศัตรูแห่งมุระ นระ (นะระ) ผู้ชาย นารายณ์ ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ ปัญจายุทธ พระผู้ทรงอาวุธทั้ง 5 อย่าง ปีตามพร ทรงเครื่องสีเหลือง ทโมทร มีเชือกพันเอาไว้รอบเอว กฤษณะ, โควินทะ, โคบาล ผู้เลี้ยงวัว ชลศายิน ผู้นอนเหนือน้ำ พระพิษณุหริ ผู้สงวน อนันตไศยน นอนบนอนัตนาคราช ลักษมีบดี ผู้เป็นสามีของพระลักษมี วิษว์บวร ผู้คุ้มครองโลก สวยภู เกิดเอง เกศวะ มีผมอันงาม กิรีติน ผู้ใส่มงกุฎ พระวิษณุ พระนารายณ์ ทรงประทับบนสวรรค์ เรียก ไวกูณฐ์ พาหนะ คือครุฑ พระวรกายสีนิล ฉลองดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎ อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์ จักร ตรี คทา บ้างก็กล่าวไว้ว่าทรงถือ ดอกบัว ลูกศร ดอกไม้ หรือเชือกบ่วงบาศ หรือสายฟ้า อาวุธประจำที่ใช้ คือ สังข์ จักร คทา ธนู และพระขรรค์
ความสำคัญด้านศาสนา-ลัทธิ
เมื่อลัทธิไวษณพนิกาย ซึ่งนับถือว่าพระวิษณุทรงเป็นใหญ่เหนือมหาเทพทั้งหลายในตรีมูรติ มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในสมัยราชวงศ์คุปตะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3-6 และกษัตริย์อินเดียในราชวงศ์นี้ส่วนมากจะนับถือลัทธินี้ และทรงรับลัทธินี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเอาถือว่าการอวตารขององค์พระวิษณุ เป็นหัวใจที่สำคัญของลัทธิภควตา (Bhagavata) ซึ่งเกิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์คุปตะและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นลำดับแม้ว่าราชวงศ์คุปตะจะเสื่อมลงแล้วก็ตามลัทธินี้ก็ยังคงอยู่ ชาวฮินดูยังเคารพบูชาปางอวตารของพระวิษณุกันมาก แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการนับถืออยู่
การอวตาร (Avatar) หรือในภาษาอังกฤษว่า “Incarnation” แปลว่า “การลงมา” คือการลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรือ “การเข้าในร่างของมนุษย์” หมายถึง พระวิษณุเสด็จลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เป็นภาคเป็นตอนต่าง ๆ กันเพื่อปราบยุคเข็ญในโลกให้หมดสิ้นไป ถือเป็นปฏิบัติการอันสำคัญยิ่งของพระวิษณุ เมื่อมียุคเข็ญเกิดบนโลกมนุษย์ พระวิษณุก็จะอวตารลงมาช่วยขจัดปัดเป่าเสีย
การอวตารของพระวิษณุ
การอวตารของพระวิษณุนั้นทรงอวตารเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์ และการอวตารของพระองค์จะเป็นไปตามศิวะโองการ (คำสั่งของพระศิวะ) และการอัญเชิญขอร้องของหมู่เทวดา การอวตารของพระวิษณุบ้างก็ว่ามีมากจนนับได้ยาก แต่ปางที่มีจุดประสงค์เพื่อมาช่วยเทวดา และมนุษย์โลกนี้มีทั้งหมด 25 ปาง แต่ปางที่ถือเป็นปางที่สำคัญที่สุดมี 10 ปาง
ปางที่ 1 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลา)เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์และสัตว์ให้พ้นจากน้ำท่วมโลก
ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่า)เพื่อช่วยเหล่าเทวะและอสูรกวนเกษียรสมุทร
ปางที่ 3 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูป่า)มีสองตำนานหลักๆคือ 1)เพื่อปราบอสูรนาม"หิรัณยากษะ"ซึ่งลักเอาแผ่นธรณีไปโดยการม้วนแล้วเหน็บไว้ที่ข้างกาย และ 2)เพื่อยุติการประลองพลังอำนาจกันระหว่าง พระศิวะ และ พระพรหม
ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)เพื่อปราบอสูรนาม "หิรัณยกศิปุ" ผู้เป็นน้องชายของ "หิรัณยากษะ"
ปางที่ 5 วามนาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)เพื่อปราบอสูรนาม "พาลี" ผู้เป็นเหลนของ "หิรัณยกศิปุ"
ปางที่ 6 ปรศุรามาวตาร (อวตารเป็นพราหม์ผู้ใช้ขวานเป็นอาวุธ)เพื่อปราบกษัตริย์(ผู้เป็นมนุษย์)นาม "พระเจ้าอรชุน" หรือ "พระเจ้าสหัสอรชุน" ผู้มีใบหน้า 1พันหน้า ผู้ก่อยุคเข็ญและทำลายล้างศาสนา
ปางที่ 7 รามาวตาร หรือ รามจันทราวตาร(อวตารเป็นพระราม กษัตริย์แห่งอโยธยา)เพื่อปราบอสูรนาม "ราวณะ" หรือ "ราพณ์" หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม "ทศกัณฐ์" กษํตริย์ แห่งกรุงลงกา - ปางนี้เป็นหลักในการจัด จารีต และ ขนบธรรมเนียม ประเพณีของสังคมอินเดีย
ปางที่ 8 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)เพื่อขับรถม้าให้ "พระอรชุน" และสอนวิถี และวิธีการดำเนินชีวิต ให้แก่พระอรชุน
ปางที่ 9 พุทธาวตาร (อวตารเป็นพระพุทธเจ้า)ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าพระนารายณ์อวตารในปางนี้เพื่อหลอกลวงให้พวกนอกรีตที่ไม่นับถือวรรณะแยกออกไปจากศาสนาพราหมณ์ ; ในบางแห่งเชื่อว่าปางที่เก้านี้คือ พลรามาวตาร (อวตารเป็นพลราม)หรือพระพลรามซึ่งเป็นพี่ชายของพระกฤษณะ เป็นการอวตารคู่กับพระกฤษณะ
ปางที่ 10 กัลกยาวตาร หรือ กัลกิยาวตาร(อวตารเป็นมนุษย์ผู้ขี่ม้าขาว หรือ กัลกี)เป็นอวตารที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นการทำนายอนาคตไว้ว่า ในยามที่เป็นปลายแห่งกลียุค ที่ที่เมื่อผู้คนไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป โลกทั้งโลกต้องเผชิญกับยุคเข็ญไปทุกหย่อมหญ้า จะมีบุรุษขี่ม้าปรากฏตัวขึ้นเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก และนำธรรมะกลับมาสู่มวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง

พระนารายณ์ 10 ปาง ในพระพุทธศาสนา
อาจเป็นไปได้ว่าชาวพุทธไม่ชอบการที่ฮินดูนำพระศาสดาของพุทธ ไปเป็นอวตารปางหนึ่งของมหาเทพของเขา จึงมีการสลับปางที่ไม่สำคัญเข้ามาแทน
ปางที่ 1 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูเผือกเขี้ยวเพชร)
ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง)
ปางที่ 3 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง)
ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)
ปางที่ 5 วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)
ปางที่ 6 มหิงสาวตาร (อวตารเป็นมหิงสา หรือควาย)
ปางที่ 7 อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางฟ้า)
ปางที่ 8 รามาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ชื่อพระราม)
ปางที่ 9 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)
ปางที่ 10 กัลกยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์เรียกว่า วีรบุรุษขี่ม้าขาว)

ความเชื่อและคตินิยม
พระวิษณุ หรือคนไทยมักเรียกว่า พระนารายณ์ มี 4 กร และมีอาวุธอยู่ทั้ง 4 พระหัตถ์ ประกอบด้วย ตรี คทา จักร สังข์ เป็นเทพผู้สร้างโลก เทพผู้ถ่ายทอด สรรพวิชาช่างต่างๆ โดยได้รับพรและ พลังอันศักดิ์สิทธิ์มากมายจากพระอิศวร จึงมีฤทธิ์ไม่แพ้กัน และยังมีความเชื่อว่า ใครบูชาท่านแล้วจะได้รับความคุ้มครอง และมีโชคลาภ แต่จะต้องเป็นคนมีสัจจะ รักษาศีล รวมทั้งเจริญภาวนาเป็นที่ตั้ง

คำบูชาพระวิษณุ (นารายณ์) โอม…นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ทุติยัมปิ…นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ตะติยัมปิ…นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ฯ

บทอธิฐานขอพร พระนารายณ์ โอม…ศานตาการัม ภุชะคะศะยะนัม ปัทมะนาภัมสุ ุเรศัม วิศวาธารัม คะคะนะสะทฤศัม เมฆะวรรณัม ศุภางคัม ลักษมีกานตัม กะมะละนะยะนัม โยคิภีร์ ธยานะคัมมยัม วันเทวิษณุมอภะวะภะยะหะรัม สรรวะโลกัยกานาถัม ฯ

บทอธิฐานขอพร พระวิษณุ โอม…สะศางขะจักรัม สะกิริฏะ กุณตะลัม สปิตะวัสตรัม สะระสีรูเหกษณัม สะหาระวักษะสถะละ เกาสตุภะ ศริยัม นะมามิ วิษณุม ศิระสา จตุรภุซัม ฯ

บทอธิฐานขอพร พระราม โอม…นีลามพุชะ ศยามะละ โกมะลางคัมสีตา สมา โรปิตะ วามะภาคัม ปาเณา มหาสายะกะ จารุ จาปัม นะมามิ รามัม ระฆุวัมศะ นาถัม ฯ
นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู เป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

ความเชื่อเกี่ยวกับลักษณะและคุณสมบัติ พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้ พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์ พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี
พญานาค
ครุฑหรือ พญาครุฑ (Garuda)
ครุฑหรือ พญาครุฑ (Garuda) เป็นสัตว์กึ่งเทพ ในตำนานปรัมปราของอินเดีย ปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหากาพย์มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับพญานาค และทะเลาะเป็นศัตรูกัน นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปุราณะ ที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าของพญาครุฑ

ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์เชื่อว่าปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ"
ครุฑเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ
ครุฑพอจะแบ่งได้ 5 ประเภทคือ
1. ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก
2. ตัวเป็นคน หัวเป็นนก
3. ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก
4. ตัวเป็นนก หัวเป็นคน
5. รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว
ตำนานของครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่าพญาครุฑเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร และนางวินตา พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ง และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์ แต่องค์ที่เกี่ยวข้องกับตำนานพญาครุฑนั้น นอกจากนางวินตาแล้ว ยังมีอีกองค์หนึ่งคือ นางกัทรุ ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปวง
ทั้งสองนางได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยป โดยนางกัทรุได้ขอพรว่าขอให้มีบุตรจำนวนมาก ซึ่งต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอบุตรเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา เมื่อนางคลอดบุตรปรากฏว่าออกมาเป็นไข่สองฟอง นางทนรอไม่ไหวว่าบุตรของตนจะมีหน้าตาอย่างไร จึงทุบไข่ออกมาฟองหนึ่ง
ปรากฏว่าเป็นเทพบุตรที่มีกายแค่ครึ่งท่อนบนชื่อ อรุณ อรุณเทพบุตรโกรธมารดาของตนที่ทำให้ตนออกจากใข่ก่อนกำหนด จึงสาปให้มารดาของตนเป็นทาสนางกัทรุ และให้บุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากความเป็นทาส จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู คงรอให้ถึงกำหนดที่บุตรคนที่สองซึ่งก็คือพญาครุฑออกมาจากไข่เอง
หนึ่งมงคล
โทร 097-157-4659, 061-414-5946
เก็บเรื่องมาเล่า
องค์เทพ ตอนที่ 1